เกษตรปลอดสารพิษ  เวียดนามหรือไทย ใครจะแตะเส้นชัยก่อน

36

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ขาดแคลนแรงงานในบางสาขาอาชีพโดยเฉพาะภาคเกษตรไทย เรื่องนี้จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่าแรงงานต่างด้าวซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญจะอยู่กับเราไปได้อีกกี่ปี ถ้าเทียบกับประเทศเวียดนามแล้วสิ่งหนึ่งที่ได้เปรียบไทยมากคือ มีประชากรที่เต็มไปด้วยหนุ่มสาวซึ่งเป็นวัยแรงงานที่แข็งแรง

นอกจากนี้ความเจริญในด้านอื่นๆ ของเวียดนามที่มีทั้งรถไฟฟ้าลอยฟ้า (Sky Train) และรถไฟฟ้าใต้ดิน (Sub Way) ที่กำลังก่อสร้างกันอย่างขยันขันแข็ง รวมถึงสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนก็กำลังสร้างใกล้จะสำเร็จแล้ว และก็อีกไม่นาน “การเจริญเติบโตของประเทศไทยเรา อาจจะถูกทิ้งแบบไม่เห็นฝุ่นจากเวียดนาม”

เมื่อเร็วๆ นี้ มีโอกาสได้รับเชิญให้ไปศึกษาดูงานจากบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนาม ซึ่งมียอดขายประมาณพันกว่าล้านบาท และติดอันดับต้นๆ ของประเทศ พร้อมกับเดินทางไปชมสวนส้มต่างจังหวัด ห่างจากเมืองฮานอยประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งมีการบริหารจัดการได้ค่อนข้างดี ทำในรูปแบบที่ปลอดภัยไร้สารพิษ และเป็นที่นิยมไปอย่างแพร่หลาย เหมือนในประเทศไทยเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาจะปลูกค่อนข้างชิดกันไปหน่อย แต่ฟอร์มของต้น การตั้งลำแข้งของลำต้นและทรงพุ่มทำได้ค่อนข้างดี ไม่มีกิ่งฉีกแขนงจากพื้นดินขึ้นมา การดูแลบำรุงดินก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และควบคุมรสชาติอย่างเข้าอกเข้าใจ

จากระยะเวลาเพียง 2 วันที่ทีมงานของบริษัทฯ ได้สรุปภาพรวมเศรษฐกิจภาคเกษตรให้ฟัง ทำให้ได้ซึมซับแนวคิดของคนเวียดนามพอสมควร ว่าทำไมเวียดนามจึงส่งออกข้าวแข่งกับไทยได้อย่างสูสี และบางปีก็แซงเป็นแชมป์ส่งออกข้าวเหนือไทยเราได้อย่างง่ายดาย น่าห่วงเหมือนกันว่าทั้งส้ม ลำไย ทุเรียน ถ้าเวียดนามสามารถพัฒนาได้ดีกว่าไทย เราอาจจะเสียโอกาสในการส่งออกไปยังประเทศจีนก็เป็นได้ เนื่องจากเวียดนามกับจีนนั้นมีพรมแดนประชิดติดกัน ทำให้สะดวกและได้เปรียบในเรื่องการขนส่งกว่าหลายเท่า

พูดถึงแนวทางการพัฒนาประเทศภาคการเกษตรของเวียดนาม ก็มีส่วนคล้ายและใกล้เคียงกับประเทศเรามาก มีการกำหนดทิศทางหรือโรดแมปอย่างชัดเจนว่าภายในระยะเวลาอันสั้น เวียดนามจะต้องเลิกใช้สารพิษในภาคการเกษตรให้ได้ ในบ้านเราเองก็กำลังต่อสู้เช่นกัน จากข่าวที่หัวเรือใหญ่เรื่องปลอดสารพิษอย่าง “อาจารย์ยักษ์” วิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศท้ารบสารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ไกลโฟเสต ด้วยจุดยืนที่หนักแน่น!! “ไม่มีคำว่าลด ต้องเลิกใช้เท่านั้น และต้องเลิกทันที” แต่สุดท้ายก็ ตามสูตรทดเวลา…ที่ต้องยื้อออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าอันตรายร้ายแรงสักแค่ไหน ทำให้ต้องรอลุ้นว่าระหว่างไทยกับเวียดนาม ใครจะประกาศชัยชนะเรื่องนี้ก่อน

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ก็แค่อยากให้ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรควรให้ความสำคัญกับอาชีพและพัฒนาให้เกิดมูลค่าเพิ่ม สร้างความแตกต่างให้กับสินค้าภาคการเกษตรของเรา โดยการตั้งใจทำเกษตรกรรมในรูปแบบที่ปลอดภัยไร้สารพิษ ให้มีความชำนาญยิ่งๆ ขึ้น มิฉะนั้นเราอาจตามพี่น้องเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา พม่า ลาว และโดยเฉพาะเวียดนาม ได้ไม่ทันการณ์

บทความโดย

นายมนตรี บุญจรัส

กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยกรีน อะโกร จำกัด (ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)