นอกจากความน่าสนใจด้านการท่องเที่ยวแล้ว ด้วยประชากรราว 96 ล้านคนในเวียดนาม จึงเป็นอีกตลาดที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน และหนึ่งในนั้นคือกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากประเทศไทย ซึ่งเข้าไปปักธงในเวียดนามมานานถึง 30 ปีแล้ว
ขณะที่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Drink) ในประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าราว 2.3 หมื่นล้านบาท ยังดูนิ่งๆ แต่เมื่อหันไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ตลาดรวมอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าประเทศไทย และยังมีแนวโน้มเติบโตดี ในอัตรา 6% ในปีนี้
เมื่อพิจารณาจากจำนวนประชากรของเวียดนามมีอยู่ 96 ล้านคน แต่มูลค่าตลาดเครื่องดื่มพร้อมดื่ม (RTD) ในเวียดนามยังอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท ส่วนเมืองไทยตลาดนี้มีมูลค่าถึง 2.3 ล้านบาท นั่นหมายถึงโอกาสการเติบโตอีกมหาศาล นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกหลายเหตุผลที่ทำให้เวียดนามเป็นตลาดที่กำลังเนื้อหอม
เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มธุรกิจ TCP ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ กระทิงแดง (เรดบูล) เรดดี้ โสมพลัส สปอนเซอร์ แมนซั่ม เพียวริคุ ซันสแนค และวอริเออร์ ได้เปิดสำนักงานต่างประเทศแห่งแรกที่กลุ่มธุรกิจ TCP ถือหุ้น 100% ณ ประเทศเวียดนาม
นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า “การเปิดบริษัท TCPVN ขึ้นที่เวียดนามนี้ เป็นบทพิสูจน์ความมุ่งมั่นของกลุ่มธุรกิจ TCP ที่ต้องการเป็นองค์กรธุรกิจที่สามารถนำความภาคภูมิใจมาสู่ประเทศไทยในเวทีโลก ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มที่เป็นแบรนด์ไทยที่สร้างชื่อเสียง และได้รับการยอมรับในระดับโลก การเปิดสำนักงานที่เวียดนามนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจ 5 ปี ที่ได้ประกาศไว้เมื่อปี 2560 ที่มุ่งสร้างยอดขายของกลุ่มโตขึ้น 3 เท่าเป็น 100,000 ล้านบาท”
นายวัสนัย กฤษอร่ามเรือง ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า “’บริษัท TCPVN จำกัด เป็นบริษัทแรกในต่างประเทศที่กลุ่มธุรกิจ TCP ถือหุ้น 100% โดยจะเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมกำหนดทิศทางการเติบโต และการขยายตลาดในเวียดนาม การเลือกมาเปิดสำนักงานที่เวียดนาม เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ มีศักยภาพสูง และมีโอกาสที่ตลาดเครื่องดื่มพร้อมดื่มจะเติบโตอีกมาก เนื่องจาก
- ไลฟ์สไตล์ของคนเวียดนามจะนิยมบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อใช้ในการดับกระหาย รวมถึงใช้บริโภคควบคู่ไปพร้อมกับมื้ออาหาร ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของคนที่ทำงานหนัก และต้องการพลังงานจากเครื่องดื่มชูกำลังมาช่วยเสริม
- ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของเวียดนาม มีศักยภาพที่จะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย จากปัจจุบันที่เป็นที่สองรองจากประเทศจีนเท่านั้น
- ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มธุรกิจ TCP ที่มีจำหน่ายอยู่แล้วมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องกว่า 25% ซึ่งเป็นการเติบโตที่มากกว่าตลาดรวม
- ตลาดเวียดนามจะให้ความไว้วางใจกับสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเราเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกทั้งในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม พรีเมี่ยม ซึ่งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับกลุ่มธุรกิจ TCP ในการนำผลิตภัณฑ์คุณภาพอื่นๆ เข้าสู่ตลาดเวียดนาม
- นอกจากนั้น กลุ่มธุรกิจ TCP ยังมีรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยมีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดเวียดนามมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี
“เราจะมุ่งมั่นพัฒนาบุคคลากร และเทคโนโลยีให้ทันสมัย เพื่อเพิ่มศักยภาพของทีมงาน TCPVN ให้เป็นหน่วยธุรกิจที่เชี่ยวชาญข้อมูลเชิงลึก ที่มีความเข้าใจพฤติกรรมการบริโภค ไลฟ์สไตล์ และวิถีชุมชนของคนเวียดนามอย่างดีที่สุด เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ปรับปรุง หรือพัฒนาให้แบรนด์ของเราที่มีจำหน่ายอยู่แล้วในท้องตลาดมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสให้มีการคิดค้น พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะตลาดได้ดีขึ้น เพื่อทำให้กลุ่มธุรกิจ TCP เป็น “เฮ้าส์ออฟแบรนด์” ที่ทรงพลังและแข็งแกร่ง โดยตั้งเป้าว่าในอีก 3 ปี เราจะมีสินค้าใหม่อย่างน้อย 1 แบรนด์วางจำหน่ายในตลาดเวียดนาม ซึ่งอาจจะเป็นสินค้าใหม่ที่คิดค้นเพื่อคนในท้องถิ่น หรืออาจจะเป็นแบรนด์ที่มีอยู่แล้ว และนำมาจำหน่ายก็ได้” นายสราวุฒิ กล่าว
นายสราวุฒิ กล่าวเสริมว่า “เครื่องดื่มชูกำลังอัดลมแบรนด์ “วอริเออร์” เป็นความภูมิใจของเรา และทีมงานตลาดต่างประเทศทุกคน เพราะถือว่าเป็นแบรนด์ใหม่ที่คนไทยสร้างขึ้นมาเพื่อตลาดเวียดนาม ที่สามารถฝ่าฟัน เอาชนะการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดเครื่องดื่มพร้อมดื่มในตลาดได้ วอริเออร์ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของทีมงานวิจัยตลาดที่เข้าถึงพฤติกรรมการบริโภคของคนเวียดนามอย่างลึกซึ้ง โดยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราพบว่ายังมีผู้บริโภคชาวเวียดนามที่ต้องการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังที่ยังคงให้ความรู้สึกเหมือนดื่มน้ำอัดลม เราจึงได้วิจัยและพัฒนาจนออกมาเป็นเครื่องดื่มชูกำลังอัดลมแบรนด์วอริเออร์ และได้นำออกมาวางจำหน่ายในปี 2558 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี มียอดขายเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยคาดว่ายอดขาย ณ สิ้นปี 2561 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงเท่าตัว”
“TCPVN ยังมีบทบาทในการบริหารจัดการด้านการตลาดและการขาย ด้วยทีมงานการตลาดมืออาชีพซึ่งเป็นคนเวียดนามที่มีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทระดับนานาชาติ โดยจะทำงานผสานกับทีมบริหารของ TCP Group ที่เคยผ่านการทำงานระดับโลก เพื่อนำเอาทักษะที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้ในการสร้างความเจริญให้กับบริษัทของคนไทยและแบรนด์ไทย ทักษะเหล่านี้เมื่อผสานเข้ากับผลงานยอดเยี่ยมของทีมงาน TCPVN ก็จะยิ่งช่วยเสริมสร้างให้ระบบการทำงานด้านการตลาดมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายสราวุฒิ กล่าว
“เราหวังว่า TCPVN จะมีส่วนช่วยพัฒนาและผลักดันให้มูลค่าตลาดรวมของเครื่องดื่มพร้อมดื่มในเวียดนามสูงขึ้นเป็นอันดับที่สอง หรือใกล้เคียงกับตลาดน้ำอัดลม” นายสราวุฒิ กล่าว
“นอกจากนั้น TCPVN ยังมีบทบาทในการบริหารจัดการระบบการจัดจำหน่าย เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น และครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น รวมถึงการแสวงหาช่องทางสมัยใหม่ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้แผนการลงทุนของเราใน 3 ปีข้างหน้า จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถของทีมงาน TCPVN ให้ทัดเทียมบริษัทในระดับนานาชาติด้วยโนว์-ฮาว และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อตอบสนองต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจ และการตลาดยุคใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และบริการให้ดียิ่งขึ้นกับลูกค้าของเรา” นายสราวุฒิ กล่าว
สำหรับยอดขายสินค้าของกลุ่มธุรกิจ TCP ในตลาดเวียดนาม คาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมียอดขายรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาดรวมทุกแบรนด์ในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังราว 42%