ตีแผ่ชีวิตผู้หญิงที่ต้องแบกรับภาระลำพัง หลังฤทธิ์น้ำเมา ทำสามี ป่วย-ตาย

41

ตีแผ่ชีวิตหัวอกคนเป็นแม่และเมีย แบกรับภาระจากผลกระทบของน้ำเมาทำครอบครัวพัง ทั้งสูญเสียสามี แถมต้องดูแลลูกตามลำพัง และสามีผู้ป่วยติดเตียงเพราะฤทธิ์สุรา ขณะที่ 5 ปีมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลให้ช่วยเหลือเหยื่อถูกกระทำความรุนแรงจากคนเมาแล้วกว่า1,136 ราย

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเวทีเสวนา “ความจริงของผู้หญิงกับสุรา…ผลกระทบที่ต้องแบกรับ” ตีแผ่ความจริงที่ผู้หญิงต้องแบกรับเพียงลำพังหลังสูญเสียสามีจากผลกระทบของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ภายในงานมีการมอบดอกไม้ให้กำลังใจและตัวแทนจากลูกนำพวงมาลัยมามอบให้แม่ เพื่อแสดงความรักเนื่องในโอกาสวันแม่ด้วย ที่โรงแรมเอบีน่าเฮ้าส์

นางสาวอังคณา อินทสา ฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากสถิติการให้บริการผู้หญิงที่ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศ5ปี ย้อนหลังระหว่างปี55-59 พบว่า ผู้หญิงได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ กว่า1,136 กรณี และลักษณะความรุนแรงที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นมีสูงถึง333 กรณี หรือคิดเป็น 29.3% นอกจากนี้ ยังพบปรากฏการณ์การดื่มของผู้หญิงในชุมชนเพิ่มมากขึ้น หากวิเคราะห์สถานการณ์ของผู้หญิงกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในสังคมชายเป็นใหญ่ 1.มาจากความเครียด ไม่มีพื้นที่ระบายทุกข์ จนต้องหันไปหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงถูกกระตุ้นจากการตลาดของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ส่งเสริมการขายในกลุ่มผู้หญิงวัยทำงานและวัยรุ่น ด้วยการลดแลกแจกแถม จัดแคมเปญจูงใจ 2.ในครอบครัวที่ผู้ชายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มักพบว่า ผู้หญิงจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแสดงอำนาจ ทั้งในเรื่องของความรุนแรง และผู้ชายกลุ่มที่ดื่มบางส่วนไปก่อเหตุคุกคามทางเพศ ขมขื่น หรือทำร้ายผู้อื่น 3.ผลกระทบทางสังคม เมื่อสามีกลายเป็นเหยื่อคนเมาแล้วขับ บาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต หรือสามีต้องมีปัญหาสุขภาพ จะส่งผลให้ผู้หญิงต้องเป็นเสาหลักดูแลครอบครัว หรือดูแลสามีที่ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และดูแลลูกที่ประสบปัญหาต่างๆ ซึ่งต้องทำหน้าที่ทั้งสองสถานะคือเป็นทั้งเมียและแม่

นางสาวอังคณา กล่าวว่า สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาที่มูลนิธิฯ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ 1.ฟื้นฟู และเยียวยาผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศจากผลกระทบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้กระทำความรุนแรง ให้เข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟูในชุมชนด้วยรูปแบบสมัครใจผ่านการมีส่วนร่วม และรณรงค์เลิกเหล้าเข้าพรรษาให้ต่อเนื่องไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 3.พัฒนากลไก กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ.2551 ซึ่งกำหนดเรื่องการเยียวยาฟื้นฟูไว้ชัดเจน และกฎหมายอื่นๆเพื่อให้เกิดการบูรณาการในการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลหรือสถาบันธัญรักษ์ เครือข่ายชุมชน และคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 4.ต้องมีตัวแทนภาคประชาชนเข้าเป็นคณะกรรมการ อนุกรรมการหรือคณะทำงานให้มากขึ้น เพื่อกำหนดแนวทาง ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการบังคับใช้กฎหมาย ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาเฉพาะหน้า และต้องส่งเสริม สนับสนุนเครือข่ายภาคเอกชนและภาคประชาชนในการทำงาน

ศ.พญ.สาวิตรี อัษฎางค์กรชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา(ศวส.) กล่าวว่า สถานการณ์การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของผู้หญิง พบว่า 1ใน50คน ดื่มเป็นประจำทุกสัปดาห์ สาเหตุการดื่มเพราะเข้าถึงง่าย อยากเข้าสังคมและสังสรรค์ มีการโฆษณาของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังพบว่า วัยรุ่นหญิงชั้นมัธยมมีการดื่มมากถึง75% ดื่มหนักมากกว่า5แก้วต่อครั้ง ในขณะที่อัตราการดื่มของวัยรุ่นชายยังคงที่ สำหรับปัญหาจากสุราทำให้เกิดผลกระทบทั้งต่อตนเองและคนอื่น เช่น อุบัติเหตุ ทะเลาะวิวาท คุกคามทางเพศ และการดื่มของผู้หญิงจะมีผลกระทบมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากการดูดซึมทำได้ช้ากว่า มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่า ส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ มีปัญหาต่อระบบเจริญพันธ์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มะเร็งเต้านม ยิ่งดื่มมากยิ่งเสี่ยงเป็นมะเร็งมากขึ้น ส่วนในผู้หญิงที่ดื่มระหว่างตั้งครรภ์จะไม่มีช่วงเวลาที่ปลอดภัย และระหว่างให้นมลูก เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำให้เด็กพัฒนาการช้า หน้าตาผิดปกติ สติปัญญาบกพร่อง ไอคิวต่ำ สมาธิสั้น

นางกานต์รวี ซุ่นสั้น ภรรยาผู้สูญเสียสามีจากคนเมาแล้วขับ กล่าวว่า การจากไปของสามีถือเป็นการสูญเสียที่กระทบต่อสภาพจิตใจมากเหมือนครึ่งหนึ่งของชีวิตหายไป แม้ที่ผ่านมาจะพยายามบอกตัวเองและลูกว่าการตายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเผชิญ แต่เมื่อเจอเหตุการณ์นี้เหมือนชีวิตสะดุดแล้วล้มอย่างแรง แต่ต้องรีบลุกเพราะมีลูกสองคนที่ต้องดูแลแม้เขาจะโตและเข้มแข็ง แต่ด้วยความเป็นแม่ก็อดห่วงไม่ได้ ทุกครั้งที่ร้องไห้จะไม่ให้ลูกเห็นไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าลูก เนื่องจากที่บ้านจะเลี้ยงลูกแบบให้ช่วยเหลือตัวเอง และเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ยิ่งมีพ่อเป็นตำรวจเราไม่รู้หรอกกว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนไหน ส่วนภาระค่าใช้จ่ายยอมรับว่าลำบากไม่แพ้กันเพราะต้องหาเงินคนเดียวที่บ้านทำสวนปาล์มและค้าขายรายได้ก็ไม่พอประทัง ลูกสองคนต้องเรียนหนังสือ ขณะนี้ต้องนำทรัพย์สินบางส่วนไปขายเพื่อจ่ายค่าเทอมให้ลูกไปก่อน ซึ่งทางตำรวจต้นสังกัดที่สามีทำงานแจ้งว่าต้องรอการตรวจสอบจากกรมบัญชีกลางก่อนจึงจะมีความชัดเจน เราเองก็ร้อนใจเพราะหน้าที่ความรับผิดชอบของคนเป็นแม่ไม่ว่าจะมีหรือไม่ต้องหาให้ลูกเรียนจนได้

“โชคดีที่ลูกๆเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน ทำให้คนเป็นแม่มีกำลังใจสู้ต่อ แม้ต้องปรับตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกับสังคมรอบตัว ซึ่งพยายามทำจิตใจให้เข้มแข็ง ใช้หลักธรรมะเข้าช่วย ซึ่งการสูญเสียครั้งนี้ไม่อยากให้สูญเปล่า แต่อยากฝากเป็นบทเรียนให้กับคนเมาแล้วขับว่า อย่าคิดว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ไม่ถึงคราวซวย เพราะคิดกันแบบนี้จึงประมาท ความสูญเสียจึงเกิดขึ้นทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น เจ็บ ตาย พิการ ชีวิตของผู้ที่เป็นเหยื่อ ครอบครัวเขาต้องล่มสลาย ถ้าคิดจะดื่มก็ไม่ควรขับรถ แต่ทางที่ดีไม่ดื่มจะดีที่สุด”นางกานต์รวี กล่าว

ด้าน นางปลา (นามสมมุติ) อายุ35ปี ภรรยาที่ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวและดูแลสามีป่วยติดเตียง กล่าวว่า เมื่อ3ปีที่แล้ว สามีเกิดอุบัติเหตุเพราะเมาแล้วเกิดอุบัติเหตุ จนต้องกลายเป็นอัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ ต้องนอนติดเตียง ทำให้ภาระทั้งหมดตกอยู่ที่ตนเองคนเดียว ส่วนเงินเก็บที่มีอยู่หมดไปกับค่ารักษาพยาบาล ลำพังเงินเดือนจากการซักรีด ทำความสะอาด3-4พันบาท แทบไม่พอใช้ ทุกคนในบ้านต้องใช้ชีวิตลำบากมาก เพราะจากที่สามีทำงานนอกบ้าน มีรายได้ 2 ทาง ตอนนี้ไม่มีรายได้ แถมลูกต้องเรียนหนังสือ

“แม้สามีเป็นแบบนี้ก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้ง สัญญากับลูกและสามีว่าจะดูแลกันไปแบบนี้ สิ่งที่ทำให้มีกำลังใจคือลูก และเราก็พยายามคิดบวก พยายามให้กำลังใจตัวเอง รวมถึงสามีเพื่อให้ผ่านพ้นปัญหาไปด้วยกัน คิดในเชิงบวก และอยากฝากถึงสังคมให้นำเรื่องนี้มาเป็นบทเรียน เพื่อให้เห็นผลกระทบ หันมาลดละเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเมื่อมีคนหนึ่งในครอบครัวที่ดื่มไม่ว่าจะเป็นสามีหรือลูกก็ตาม ภาระสารพัดก็จะตกอยู่กับผู้หญิงที่ต้องแบกรับเพียงลำพัง” นางปลา (นามสมมุติ) กล่าว