คนเราเกิดมาพร้อมคำว่าไร้เดียงสา แต่ใช่ว่าทุกคนจะเดินบนเส้นทางเดียวกัน
จากอาณาเขตของครอบครัว ซอกซอยเล็กๆ ในละแวกบ้าน เมื่อเติบโตขึ้นมาระยะหนึ่ง เราทุกคนต่างต้องเดินออกมาเจอกับถนนเส้นใหญ่ พบหลากผู้คนหลายเรื่องราว ท่ามกลางทางแยกอีกมากมาย ที่ไม่รู้เลยว่า จะนำพาเราไปถึงไหนเป็นโลกของวัยรุ่นที่เห็นอะไรก็ตื่นตาตื่นใจ แม้จะรู้ว่า ถนนบางสาย ก็ไม่ใช่ทางที่ควรเลือกเดิน
“สนธยา ชิตมณี” เด็กชายตัวน้อย ลูกคนที่ 7 ของบ้านชิตมณี เป็นน้องคนสุดท้องที่ได้รับการประคบประหงมอย่างดี ในครอบครัวชาวสวนยาง ละแวกบ้านหูแร่ ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
เราอาจจะได้ยินชื่อเสียงของ “สน เดอะสตาร์” The Star หนุ่มคนแรกของรายการเมื่อปี 2547 หนึ่งในแรงบันดาลใจของใครหลายคน ที่ต้องการตามฝันโดยอาศัยความตั้งใจ เป็นความสำเร็จของเด็กที่อาจเรียกได้ว่า “เด็กบ้านๆ” ที่ออกมาจากความสามารถที่แท้จริง
ด้วยความเป็นคนธรรมดา “สน” จึงไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ที่มีช่วงชีวิตที่ผิดพลาด พลั้ง เผลอ เป็นบทเรียนที่เขาอยากจะบอกเล่า เพราะสิ่งที่เขาเล่านี้ เป็นเพื่อนยามทุกข์ยากของใครหลายคนมาแล้ว ได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า การแบ่งปันประสบการณ์ในอีกแง่มุมของเขา คือ หนึ่งในกำลังใจ ที่จะฟื้นคืนชีวิตสดใสของใครหลายคนให้กลับคืนมาอีกครั้ง
“ผมชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เวทีแรกที่ขึ้นโชว์แบบเป็นทางการก็คือ วันเด็ก จำได้ว่าหัดเล่นกีตาร์เองมาตั้งแต่ ป.5 เพลงที่ฝึกคือ เพลงโนพลอมแพลม ของคาราบาว พอ ป.6 ก็ได้ขึ้นโชว์บนเวทีวันเด็ก พอขึ้นมัธยม โรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ ผมเรียนอยู่ห้องท็อป แต่ก็ยังชอบเล่นกีตาร์ เลยชอบโดดเรียนไปเล่นกีตาร์ใต้ถุนอาคาร ช่วงวัยรุ่นมันต้องการเป็นที่ยอมรับ ผมเป็นเด็ก ม.ต้น ที่เล่นกีตาร์ได้โดยไม่ดูหนังสือเพลง เด็ก ม.ปลาย ยังต้องมาดูผมเล่น ผมจึงรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ผมชอบความรู้สึกนั้น จนเริ่มไม่เข้าเรียนบ่อยขึ้นจนโดนตักเตือน หนักเข้าก็ต้องออกจากโรงเรียน ตอน ม.2 เทอม 1 ย้ายไปอยู่โรงเรียนรัตภูมิวิทยาได้อาทิตย์หนึ่งก็มีปัญญากับเจ้าถิ่น เพราะตอนนั้นเราก็เกเรพอตัว กลับเข้าไปสู่โรงเรียนสมัยประถม โรงเรียนสหศาสตร์วิทยาคาร ก็ไม่จบ”
ความรักในดนตรี ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของปัญหา แต่เมื่อ “สน” เดินออกจากรั้วการศึกษาในช่วงวัยคะนอง สิ่งที่เขาหันเข้าหากลับกลายเป็นอีกทางแยก
“ช่วงที่เรียนที่ไหนก็ไม่จบตอนนั้นอายุ 14-15 ก็หยุดเรียนไปเลย ช่วงนั้นเริ่มละ เริ่มลองโน่นลองนี่ ลองไปหมด จนผมก็ติดกาว ถึงจะบอกว่าเพราะไปคลุกคลีอยู่ในแวดวงที่ดมกาว แต่คงโทษเพื่อนไม่ได้ เราสมัครใจเอง เราอยากลองเอง ผมมองว่าเป็นเรื่องวัยรุ่นอยากลอง จากนั้นก็ไม่เรียน ดมมา 3-4 ปี จนลมหายใจมีแต่กลิ่นกาว ทำให้จมูกไม่ดีมาจนถึงทุกวันนี้”
3-4 ปี ในช่วงที่คนรอบข้างกำลังก้าวไปข้างหน้า แต่ “สน” กลับใช้เวลาอยู่กับที่ ด้วยสิ่งที่เขาเรียกมันว่า “ความสุข” ในตอนนั้น แล้วอะไรคือจุดพลิกผัน ของผู้ชายที่ได้ชื่อว่า ประสบความสำเร็จจนเป็นต้นแบบให้ใครหลายคนในวันนี้
“คนดมกาวจะมีพฤติกรรมแปลกๆ สามารถอยู่มุมใครมุมมัน สร้างจินตนาการของตัวเอง มีหมดละครับ บางทีก็พากันไป 3-4 คน พากันนั่งเรือหงส์ (เรือถีบรูปหงส์) แล้วก็คิดอะไรไปตามแต่ละจินตนาการของแต่ละคน วันหนึ่งผมปีนต้นไม้ขึ้นไปนั่งดมกาว จนพี่ชายตามมาเจอ พี่ผมลากผมมากระทืบกลางหมู่บ้าน จำติดตาได้เลยว่า ที่หน้าร้านกาแฟพี่แป้ง สามแยกหูแร่ แต่การกระทืบครั้งนั้น ไม่เท่ากับคำของพี่โฬม (เพื่อนของพี่ชายที่มาด้วยในตอนนั้น ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตแล้ว) แกบอกว่า
สนมึงน่ะ มีดีในตัว มึงเล่นกีตาร์เก่ง มึงร้องเพลงเพราะ ทำไมมึงไม่เอาออกมา ทำไมมึงมามุ่งแต่กับเรื่องพวกนี้ แล้วมึงเป็นลูกคนสุดท้อง แม่รักมึงมากที่สุด!
ผมก็เลยเออ! ใช่ว่ะ แม่รักเรา แล้วเราก็มีดีด้วย แค่นั้นเลยครับ แค่นั้นเอง”
มันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ในใจของหลายคนอาจมีคำถาม ขณะที่ “สน” บอกว่า ใช่! เพราะทุกอย่าง มันอยู่ที่ใจ
“มันไม่ได้ลงแดง แค่ไม่ดมก็จบ มันอยู่ที่เราเลย แต่จะบอกว่าดมกาวดีนะ เลิกง่ายดี มันก็ไม่ใช่ เพราะมันคือของไม่ดี มันทำลายสมอง ทำลายระบบทางเดินหายใจ รุ่นพี่ผมที่ดมกันมาก็เลิกหมดแล้ว ส่วนคนที่ยังดม หรือดมกันยาวเป็นสิบปี ก็ไม่รู้ว่ามันจะฟั่นเฟือนไปขนาดไหน อาจจะเป็นความโชคดีของผม เพราะยุคนั้นมันไม่มียาบ้า มีแต่ยาม้าที่อยู่ในปั๊ม เม็ดละ 10 บาท คนขับรถสิบล้อเขามาดองลิโพกินกัน ไม่ได้เอามาดูดกัน ยุคผมมันมีแค่ กัญชา กาว และผงขาว ผงขาวก็เคยลอง แต่ไม่ถลำไปฉีด”
บทเรียนที่พลิกผันทำให้ “สน” หันกลับมาเริ่มต้นชีวิตดีๆ อีกครั้ง ด้วยการหันเข้าหาดนตรี อันเป็นสิ่งที่รักของเขา ซึ่งไม่ทำให้คนที่รักและรักเขา ต้องเจ็บช้ำอีกแล้ว
“บทเรียนในครั้งนั้นทำให้ผมสูญเสีย ทั้งเรื่องการเรียน และการปล่อยปละละเลยกับชีวิต ผมไม่รู้ว่าถ้าผมยังปล่อยชีวิตเป็นแบบวันนั้น ผมจะได้มาเป็น “สน เดอะสตาร์” หรือเปล่า ผมจะได้มาเล่นดนตรีในหาดใหญ่หรือเปล่า ถ้ายังหมกมุ่นอยู่ตรงนั้น ผมก็เลยมองย้อนกลับไปว่า ถ้าครั้งนั้นไม่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น ความสามารถในตัวผมมันจะโผล่ออกมาไหม มันจะให้คนได้เห็น แล้วจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้ไหม
จากนั้น ตอนอายุสัก 19 ปี ผมเริ่มเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน เริ่มจาก 3 ชิ้น วันหนึ่งมีเพื่อนตั้งวงที่หาดใหญ่ เขาขาดมือเบส จากเล่นกีตาร์ผมก็ไปหัดเล่นเบส ชีวิตเริ่มวนเวียน ไต่เต้าจากไม่ดัง ก็พยายามฝึกไปเรื่อย จนได้เป็นนักร้องนำ วง POT FACE ในหาดใหญ่ อันที่จริงก็ไม่ได้ร้องนำมาก่อน ตัวนักร้องตัวจริง เป็นมือกีตาร์ เขาไม่สบายไปหลายวัน ผมเลยต้องเล่นเบสและร้องนำด้วย ตอนนั้นผมเล่นดนตรีเลี้ยงตัวเองได้ มีแค่กีตาร์ตัวแรกที่พี่สาวซื้อให้ หลังจากนั้นทุกอย่างในชีวิต ทั้งมอเตอร์ไซด์ รถยนต์ ผมซื้อเองหมด ผมน่าจะเป็นนักร้องในยุคนั้นที่ทำรายได้ต้นๆ ในหาดใหญ่ เพราะเล่นหลายร้านมาก เมื่อตั้งหลักได้ก็ไปลงเรียน กศน. ทั้ง ม.ต้น และ ม.ปลาย”
นั่นคือช่วงชีวิต ก่อนที่ชื่อของ “สน เดอะสตาร์” จะปรากฏในวงการบันเทิงไทย แต่บทบาทของ “สน เดอะสตาร์” ก็ไม่ใช่แค่นักร้องหรือนักแสดง เพราะในฐานะของคนที่เคยได้รับโอกาส ทั้งโอกาสแรกในเวทีวันเด็ก โอกาสในการฟื้นชีวิตกลับมาเอาดีด้านดนตรีและการศึกษาอีกครั้ง ทำให้เขาคิดว่า โอกาสนั้น น่าจะต้องถูกส่งต่อ
“จากการสัมผัสด้วยตัวเอง ผมมองว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญ เพราะโอกาสดีๆ ความสามารถของแต่ละคนที่มีอยู่ ซึ่งมั่นใจว่ามีทุกคน จะหายไป ถ้าถูกยาเสพติดบดบัง และมันก็เสียเวลามาก หากติดหนักๆ ก็ถึงขั้นเสียอนาคต เพราะฟื้นคืนยาก บางคนก็สมองถูกทำลายแบบกู่ไม่กลับไปเลย”
บางครั้งชีวิตมันก็เหมือนวังวน จากอดีตที่เราอาจจะเคยทำให้คนที่รักเราต้องเป็นกังวล มาวันหนึ่ง เราอาจจะต้องเป็นผู้รับความกังวลนั้น จากสิ่งที่เกิดกับคนที่เรารัก
“หลานผมเคยติดไอซ์ ตอนนั้นผมได้เป็น เดอะ สตาร์ แล้ว ผมเคยไปดูเขาที่สถานบำบัด ที่สงขลา และมีโอกาสให้พูดคุยกับน้องๆ ที่เข้ามารับการบำบัด ทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย! การที่เราได้แชร์ชีวิตของเราเพื่อให้คนอื่นได้รู้จักรักตัวเอง มันมีความสุขดีนะ เขาฟังผมเหมือนผมเป็นพวกเดียวกับเขา เหมือนมีหัวใจเดียวกัน หลังจากนั้นพอมีโอกาสก็เริ่มทำเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ที่นี่ แต่ไปทีอื่นด้วย
ผมเคยไปที่จะนะ (สงขลา) ตอนนั้นจะไปเล่นคอนเสิร์ต เพื่อนผมบอกว่าเคยติดยามาก่อนให้ช่วยไปพูดหน่อย ผมก็พูดเหมือนที่ที่อื่น แชร์ประสบการณ์ ผมก็เคยติดยา เป็นรุ่นพี่ของคุณ เคยเดินผิดมาก่อน แต่ผมเอาดีได้ ผมเชื่อว่าทุกคนเอาดีได้ แต่ผมต้องทำให้เขารู้จักคุณค่าของความรักที่คนอื่นมอบให้ด้วย
อย่างครั้งหนึ่งเพื่อนเคยพาไปที่นนทบุรี เป็นคืนท้ายของกิจกรรมพอดี คืนนั้นมีการวิ่งรอบโบสถ์ แล้วเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็มาวิ่งกับพ่อ แล้วถามว่าเมื่อไหร่พ่อจะกลับบ้าน แล้วพ่อเขาก็ร้องไห้ มันเป็นภาพที่จะบอกว่าสะเทือนใจก็สะเทือนใจ อีกมุมผมเชื่อว่า ความรักมันทำให้ดึงคนออกจากขุมนรกยาเสพติดได้ แล้วคืนนั้น พอช่วงรอบกองไฟ ผมก็พูดเรื่องราวของผมให้พวกเขาฟัง ผมไม่ได้สอนอะไรเขาหรอก ผมพยายามดึงความรักใกล้ตัวมาผลักดัน เพราะผมเคยคุยกับหมอที่ศูนย์บำบัดเกาะแต้ว (สงขลา) หมอบอกจริงๆ หลังเข้ารับการบำบัด 2-3 อาทิตย์ ตัวเคมีมันก็หมด แต่ที่คนกลับไปเสพเพราะครอบครัว สิ่งแวดล้อม มันหมายถึงความรักและกำลังใจนั่นแหละ แต่อีกส่วนหนึ่ง ต่อให้เขามอบให้ตาย แต่ตัวผู้เสพไม่รู้จักดึงเอาความรักตอบ มันก็ผลักยาวไป จนออกมาไม่ได้เหมือนกัน
คืนรอบกองไฟวันนั้น จึงคิดแบบสดๆ ผมบอกเขาว่า ผมจะร้องเพลงให้ฟัง แต่ให้พวกเขาหลับตาร่วมร้อง เพลงนี้มันต้องใช้ใจร้องนะ แล้วต้องร้องให้ดัง ดังให้ถึงคนที่เรารักที่บ้าน ที่ให้หลับตา เพราะการหลับตาช่วยจินตนาการ ไม่วอกแวก มีสมาธิกับสิ่งที่จะสื่อ
ผมขึ้นเพลงแม่ ของ เสก โลโซ แล้วผมก็แอบลืมตา ภาพที่ผมเห็นระหว่างเพลงคือ ทุกคนร้องไห้ ผมเชื่อว่าที่เขาร้องไห้ เพราะเขารู้สึกได้ว่า แม่รักเขาแค่ไหน ลูกเมียรักเขาแค่ไหน”
ไม่ง่ายนัก ที่หลายคนจะได้รับโอกาสที่ดีจากครอบครัวที่อ้าแขนยอมรับ สังคมที่เปิดกว้าง กระทั่งตัวของเขาเอง ที่หันกลับมารักคนที่รักเขาด้วยการรักตัวเอง สิ่งที่ “สน” ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ในหลายโอกาส ย่อมมีหนึ่งสิ่งที่เขามองเห็นได้ชัดเจนที่สุด นั่นคือคนใกล้ตัวของเขาเอง
“หลานผมที่ติดยา ก็เลิกแล้ว เขาเคยมาอยู่กับผมที่กรุงเทพช่วงหนึ่ง ช่วงนั้นก็พูดจากความรู้สึกที่มี ไม่ได้ประดิษฐ์ประดอยอะไรมาก บอกว่าแม่เขาเหนื่อยเพื่อหลานยังไง อย่าทำอย่างนี้อีกเลย เรามีคนที่เขารักเราอีกมาก ท้ายสุดเขาหยุดได้ แล้วยังบวชให้แม่เขาด้วย อีกเหตุการณ์ ที่ผมเคยไปพูดในสถานบำบัด อยู่มาวันหนึ่ง หลานของเพื่อนเขาเข้ามาทักผม น้าสนจำผมได้ไหม วันที่น้าไปพูด ผมอยู่ที่นั่นด้วย ผมขอบคุณน้าสนมากๆ แล้วตอนนี้เขาไปเป็นทหารแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมสัมผัสได้โดยตรงนะ ส่วนคนอื่นผมอาจจะไม่รู้ เพราะไม่ได้ไปติดตาม ได้แต่ทำในสิ่งที่ทำได้ อย่างการให้กำลังใจ ให้โอกาส เหมือนที่เราเคยโดน จากเด็กที่ไม่เคยได้โอกาส กลับมาได้โอกาส เมื่อผมมีโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ก็อยากให้เขาบ้าง ทุกวันนี้ถ้ามีโอกาสไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหน แล้วมีคนติดต่อให้ไปพูด ผมก็ไป”
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เรื่องของยาเสพติด เป็นภัยร้ายของสังคมไทย ที่กระชากคุณค่าของคนให้หมดสิ้นไป แต่วัยรุ่น ก็ยังเป็นวัยรุ่น ไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกหรือคิดได้ เพราะมันยังประกอบด้วยสิ่งแวดล้อมอีกมากมายนัก
“หากต้องคุยเรื่องยากับวัยรุ่น ผมคงจะไม่ว่าเขา ผมแค่จะบอกว่า ลองแล้วพอหรือยัง พอแล้วก็ออกมาเถอะ มีสิ่งดีๆ ในตัวเยอะกว่าที่เสียไปนะ สมัยก่อนเรื่องยาอาจจะเป็นค่านิยมด้านฐานะ เพราะเป็นของแพง แต่เดี๋ยวนี้ เด็กตามบ้านๆ ก็เล่นได้ แต่สิ่งที่มันยังเป็นคือ ค่านิยมอีกอย่าง แบบว่า…ถ้ามึงโจ๋มึงก็ต้องดูดมัน อะไรแบบนี้มากกว่า ซึ่งคนรอบข้างต้องบอกให้เข้าใจ ผมก็ไม่รู้วิธีบอกของเขามากนัก
ปัญหาอีกอย่างคือ ผู้ใหญ่บางคนไม่ได้เป็นผู้เสพ ไม่ได้สัมผัสกับผู้เสพ ก็เลยไม่เข้าใจวิธีที่จะพูด ผมว่าคนที่เคยเสพแล้วหลุดมาได้แล้ว ถ้ามีคนใกล้ตัวของคุณเอง ก็ควรเอาประสบการณ์ของคุณไปบอกเขา
โจรมันต้องเชื่อโจร โจรไม่มีทางเชื่อตำรวจ คนติดยาก็เชื่อคนติดยาด้วยกัน เขาไม่มีทางเชื่อหมอ เชื่อสื่อ ดาราพูดให้ตาย เขาไม่เชื่อ มันไม่ร้องไห้ด้วย
แต่ถ้าคนที่มันนับถือ คนที่มันรู้จัก ไม่ต้องเป็นดาราหรอก รู้แค่ว่าเขาเคยติดยามาก่อน แล้วเขามีวิธีพูดที่ดี มีวิธีโน้มน้าวที่ดี ขอแค่คนที่คนที่เคยมีประวัติไม่ดีมาก่อน มาเสียสละ ให้เวลาพูดคุยกับเขา
ผมเชื่อนะว่า ความรัก และ การดึงเอาความสามารถออกมา ให้เขามั่นใจในความสามารถที่เขามี ให้รู้สึกว่าทำอย่างอื่นมันมีคุณค่า ได้เห็นคุณค่าตัวเอง และรักษาคุณค่านั้นไว้
ส่วนการอยู่ในสถานบำบัด เท่าที่ผมเคยเห็น มันอาจจะสวนทางกับจำนวนคนเสพ ต้องยอมรับว่ามีคนเสพเยอะมาก คนที่อยากหยุดก็มี แต่หยุดไม่ได้ เพราะไม่มีสถานบำบัด แต่ละสถานบำบัดก็ไม่ได้พร้อม เครื่องดนตรี หรือสิ่งสร้างจินตนาการดีๆ ให้กับเขา มันเก่ามาก ไม่มีสมรรถภาพในการช่วยดึงเขาออกมา อยากให้เขาอยากเล่นดนตรีดีๆ แต่เครื่องดนตรีมันดันง๊องแง๊ง”
เพราะโอกาสของ “สน เดอะสตาร์” เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่วันเด็ก และหนึ่งในกำลังใจ แรงผลักดันที่ส่งเขาให้มายืนในจุดนี้ได้ นอกจากครอบครัวแล้ว ก็คือชาวชุมชนบ้านหูแร่ ที่ยังมีเด็กๆ อีกหลายคน ต้องการโอกาสที่ดีเช่นเขา
“ตอนนี้มีแผนหลายอย่างแต่ยังไม่เสร็จ ทั้งการตั้งชมรมดนตรี เพื่อให้เยาวชนหรือคนที่กำลังติดยามาเป็นสมาชิก มีครูมาสอนให้เล่นดนตรี จะทำเป็นรุ่นๆ ไป โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องเลิกยา หากจับได้ว่ากลับไปเสพครั้งแรกก็จะตักเตือนก่อน ครั้งต่อไปก็หมดสภาวะการเป็นสมาชิก ผมอยากให้ดนตรีมีส่วนในการสร้างพลังกับเด็กในหมู่บ้าน ตอนนี้ได้คุยกับพระอาจารย์อั้น ที่เป็นพระอุปชาผม เพื่อขอเรื่องที่ดินเล็กๆ ซึ่งท่านก็มอบให้แล้ว แต่ช่วงนี้ตัวผมเองก็ยังติดภารกิจหลายอย่าง ทั้งหนัง ละคร และงานอื่นๆ
รวมทั้ง งานวันเด็กบ้านหูแร่ ปี 2562 ซึ่งไม่ได้จัดมา 3 ปีแล้ว งานนี้จะมีการปิดถนน ให้ผู้ใหญ่ใจดีในพื้นที่เข้ามาสนับสนุน ใครอยากให้อะไรก็ให้มา งานจะเริ่มตั้งแต่หกโมงเย็น อยากให้เด็กๆ ในหมู่บ้านที่ไม่ได้ไปเที่ยวงานวันเด็กในตอนกลางวันได้มาร่วมงาน เพราะพ่อแม่ยังต้องหาเช้ากินค่ำ จึงจัดงานในช่วงกลางคืน แล้วอีกอย่างคือผมเกิดจากวันเด็ก ผมได้รับโอกาสจากเวทีนี้ ซึ่งคุณตาของผม เป็นผู้จัดมาก่อน ผมก็เลยมาสานต่อตั้งแต่ยังไม่เป็น สน เดอะสตาร์ งานนี้จะไม่มีคอนเสิร์ตของผม แต่จะเปิดโอกาสให้เด็กๆ มาแสดงความสามารถ โดยผมจะรับหน้าที่เป็นพิธีกร”
นอกจากนั้น “สน” ยังมีโครงการหารายได้ติดตั้งเครื่องเสียงในศาลาอเนกประสงค์ ในโรงเรียนวัดหูแร่ เพื่อใช้ในการจัดงานต่างๆ ของโรงเรียน หรือเปิดโอกาสให้คนในหมู่บ้าน จะงานเลี้ยง งานแต่ง ก็มาขอใช้พื้นที่ มีค่าบำรุงนิดหน่อย แต่ยังดีกว่าไปเช่าที่แพงๆ ในการจัดงาน
นี่คือวันนี้ของ “สน เดอะสตาร์” ที่ทำให้เห็นว่า ความรัก โอกาส และการยอมรับความรัก ยอมรับโอกาสนั้น คือหนึ่งในเส้นทางที่จะช่วยให้คนไม่มากก็น้อย ที่ยังอยู่ในวังวนยาเสพติด หรือคนที่ใกล้ชิดกับพวกเขา ได้ใช้มันให้เป็นประโยชน์
“เรื่องของยาเสพติดยังเป็นปัญหามาก มันเป็นเรื่องของวัย ที่อยากรู้อยากลอง แต่บางคนมันติดยาว เพราะเขาไม่มีโอกาสใกล้ชิดกับคนที่จะดึงเขาออกมาได้ บางคนก็ดันจบเกม ไปอยู่ในสถานพินิจ ในเรือนจำ กลับออกมาก็ไม่ได้โอกาส จะไปไหนก็ตัน เมื่อทางไปไม่มี ก็หันกลับไปทางเดิม
เลยต้องพูดเหมือนที่หมอว่า ให้มองคนติดยาเป็นผู้ป่วย แต่เราจะไปบอกกับทุกคนให้เชื่อไม่ได้ เพราะต่างคนต่างคิด ใครที่มีโอกาสเปิดใจกว้างให้กับคนติดยา ก็ควรให้ เพราะคนเรามันไม่ได้เลวโดยสายเลือดอยู่แล้ว คนเราเกิดมาเริ่มจากความเดียงสาในวัยเด็ก บางคนผู้ใหญ่ไปเติมให้เขาเห็นในภาพจำ แล้วเขาทำตาม แต่บางคนพ่อแม่อาจจะสอนมาดี แต่ด้วยวัยของเขาอาจจะพลั้งพลาด สิ่งหนึ่งคืออย่าไปซ้ำเติม และให้โอกาสเขา”
วันนี้ “สน” จึงพร้อมสำหรับโอกาส ที่จะได้สร้างโอกาสที่ดีให้กับพวกเขา
“หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่านอกจากเพลง หนัง ละคร แล้ว ผมทำอะไรอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ที่ผมไปพูดในสถานบำบัดต่างๆ เพราะผมไปเล่นคอนเสิร์ตในพื้นที่นั้นๆ และผมเองก็ไม่อยากจะโพสต์เรื่องนี้ออกไปมากนัก เพราะยังมีคนที่เราต้องเซฟเขา แต่ถ้าหน่วยงานไหนได้อยากให้ผมไปช่วย ก็บอกมาได้เลย
เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่อยากบอกว่า คุณมีสิทธิ์หลงผิด แต่คุณก็มีสิทธิที่จะก้าวออกมาด้วยตัวคุณเองเหมือนกัน”
ติดตามผลงานของ “สน เดอะสตาร์”
หลังจากภาพยนตร์เรื่อง “โนรา” ได้ลาโรงไปแล้ว ในเดือนมกราคมนี้ ก็มีผลงานของสนให้ติดตามในภาพยนตร์เรื่อง “แช่ง” และที่กำลังถ่ายทำคือ ภาพยนตร์เรื่อง “บังเอิญข่อยฮักเจ้า” สำหรับผลงานเพลงก็จะมีซิงเกิ้ลใหม่ออกมาให้ฟังกันในเร็วๆ นี้ แต่ใครที่อยากฟังเสียงของสนกันอย่างใกล้ชิด แนะนำให้ไปที่ร้าน “นายสน” ลาดพร้าว 101