“LH Bank” เปิดกลยุทธ์ปี 62 ผนึกพันธมิตร CTBC Bank

21

“LH Bank” เปิดกลยุทธ์ปี 62 ผนึกพันธมิตร CTBC Bank รุกธุรกิจ Trade Finance และยกระดับบริการ Wealth Management

LH Bank เผยกลยุทธ์ปี 62 ผนึกพันธมิตร CTBC Bank เสริมแกร่งรุกขยายฐานลูกค้า Trade Finance ยกระดับบริการ Wealth Management พร้อมตั้งเป้าสินเชื่อโต 6 – 8 % และ LH Fund ยกระดับการเป็นผู้บริหารกองทุนมืออาชีพเพื่อเพิ่มขนาดกองทุนที่บริหารจัดการให้เติบโต 20% สำหรับ LH Securities ยกระดับการให้บริการที่ดี และเพิ่มช่องทางการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว

นางศศิธร พงศธร (ฉัตรศิริวิชัยกุล) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHFG) เปิดเผยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ปี 2562 ว่า ท่ามกลางความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลก โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ส่งผลต่อการส่งออกของประเทศ แต่เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนในประเทศโดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มเติบโตดี เช่นเดียวกับการลงทุนภายในประเทศที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จึงมองว่าเป็นทิศทางที่ดีที่จะช่วยให้ทิศทางการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในปี 2562 ขยายตัวต่อเนื่อง

ณ สิ้นปี 2561 บริษัทมีสินทรัพย์รวม อยู่ที่ 245,933 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนร้อยละ 5.5 โดยมีโครงสร้างสินเชื่อ Corporate : SME : Retail ร้อยละ 76 : 11 : 13 มีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.93 และสินเชื่อที่ค้างชำระตั้งแต่ 30 – 90 วัน (Delinquency) เพียงร้อยละ 0.99 ของสินเชื่อรวม สะท้อนถึงการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ดี อีกทั้งมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนเงินกองทุนรวมและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ร้อยละ 20.0 และ 17.1 ตามลำดับ

ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ในปี 61 มีกำไรสุทธิ 3,108 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนร้อยละ 19.4 สำหรับเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 6-8 ซึ่งยังคงเน้นที่จะเติบโตอย่างระมัดระวังควบคู่กับการรักษาคุณภาพสินเชื่อ โดยธนาคารจะให้ความสำคัญกับการปรับพอร์ตสินเชื่อให้มีความเหมาะสมเพื่อลดการกระจุกตัว

LH Bank ร่วมกับ CTBC Bank ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และเป็นธนาคารเอกชนอันดับ 1 ของไต้หวัน มีสินทรัพย์กว่า 4.0 ล้านล้านบาท มีเครือข่ายการให้บริการที่เชื่อมโยงกันถึง 111 แห่ง ครอบคลุมกว่า 14 ประเทศ ทั่วโลก และมีความเชี่ยวชาญในบริการ Trade Finance บริการ Wealth Management และ Digital Banking ซึ่งได้ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งและสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

– การให้บริการ LH Bank Mobile Payment Service สำหรับร้านค้า หรือบริการรับชำระค่าสินค้าและบริการผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยการสแกน QR Code เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้สามารถชำระค่าสินค้าและบริการผ่าน E-Wallet ชั้นนำจากทั่วโลก

– การให้บริการ Trade Finance ซึ่ง CTBC Bank มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก และมีเครือข่ายสาขาอยู่ ทั่วโลกกว่า 111 แห่งไว้อำนวยความสะดวก โดยมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งนำเข้าและส่งออกที่ครบวงจร พร้อมการให้บริการที่ดี

นอกจากนี้ ธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยคุกคามจากไซเบอร์ Cyber security ซึ่งธนาคารได้ลงทุนพัฒนาระบบ IT security เพื่อรองรับการทำธุรกรรมออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้นให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น

กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้ปรับภาพลักษณ์ mark Symbolic of CHANGE ภายใต้ คอนเซ็ปต์ “We Are Family” เราคือครอบครัวเดียวกัน พร้อมยกระดับการให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ รวมทั้งการปรับพื้นที่บางสาขาให้มี Private Zone, Private Room เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้า โดยทีม ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคลที่เป็นมืออาชีพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบ Wealth Management System เพื่อช่วยในการจัดพอร์ต Asset Allocation ให้สอดคล้องกับคาแรคเตอร์ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม แต่ละ Generation เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการในการลงทุนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการให้บริการผ่าน Banking Agent ซึ่งจะให้บริการประมาณไตรมาสที่ 2

ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) วางเป้าหมายปี 2562 โดยจะขยายขนาดกองทุนภายใต้การบริหารจัดการให้เติบโตอีก 10 – 20% ซึ่งในปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ค่อยมีใครเข้าถึงมากขึ้น โดยบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และ Partner ในการสร้างทางเลือกการลงทุนส่วนบุคคลและดึงดูด นักลงทุนรุ่นใหม่ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการภายใต้กลยุทธ์ Asset Allocation ที่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีในปีที่ผ่านมา

ภาพรวมผลการดำเนินงานการบริหารจัดการกองทุนในปี 2561 บริษัทมีกองทุนรวมที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการโดยนับรวม Property Fund และ REITs ประมาณ 56,284 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ประมาณ 7,000 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ประมาณ 2,908 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 ธุรกิจ มีอัตราการเติบโตได้ดีกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ LH Fund มีกองทุนที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีและยังได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar (ข้อมูล ณ 31 ธันวาคม 2561) ได้แก่
• กองทุนเปิด แอล เอช เฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ (LHFLRMF)
• กองทุนเปิด แอล เอช โกรท ชนิดสะสมมูลค่า (LHGROWTH-A)
• กองทุนเปิด แอล เอช โกรท ชนิดจ่ายเงินปันผล (LHGROWTH-D)
• กองทุนเปิด แอล เอช โกรท ชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (LHGROWTH-R)
• กองทุนเปิด แอล เอช เอ็ม เอส เฟล็กซิเบิ้ล (LHMSFL)

นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Securities) กล่าวถึงแผนธุรกิจในปี 2562 ว่า บริษัทยังคงเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบใหม่ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความแตกต่างเพื่อขยายฐานรายได้และเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มนักลงทุน นอกจากนี้ยังเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพของหน่วยงานสนับสนุน เจ้าหน้าที่ผู้แนะนำการลงทุน และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง และยกระดับการเป็นที่ปรึกษาทางเงินและการลงทุนที่ดี

ปี 2561 มีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการอันรวดเร็วของเทคโนโลยี การแข่งขันในธุรกิจ รวมทั้งความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างมาก โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นปี 2561 ปิดที่ 1,563.88 จุด ลดลงร้อยละ 10.8 จากสิ้นปีก่อน แต่รายได้ค่านายหน้าของบริษัท ยังเติบโตในอัตราร้อยละ 15.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายได้ค่านายหน้ารวมจำนวน 165.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 209.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2560 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 99

“ปี 2562 เราพร้อมทำการตลาดอย่างเต็มที่บนพื้นฐานของความยืดหยุ่นและระมัดระวัง โดยประสานความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจทางการเงิน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อเติมเต็มผลิตภัณฑ์และบริการให้ครบวงจรมากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกในการใช้บริการ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและเลือกลงทุนกับเราอย่างยั่งยืน”

นอกจากนี้ ธุรกิจหลักทรัพย์มีแนวโน้มต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้น โดยปัจจุบันมีการนำ Robot Trade เข้ามาใช้ซื้อขายในลักษณะ High Frequency Trading (HFT) ทำให้สภาพการซื้อขายโดยรวมมีความผันผวน บริษัทจึงเปิดให้บริการ Auto Trade ซึ่งเป็นระบบการส่งคำสั่งอัตโนมัติที่ทางระบบจะเป็นผู้ทำการซื้อขายตามสัญญาณซื้อขายในเงื่อนไขที่ลูกค้ากำหนด ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ชีวิตที่เร่งรีบ และไม่มีเวลาติดตามการลงทุน โดยทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างประสบการณ์การลงทุนที่ดีให้กับลูกค้า