เปิดผลวิจัย “รถฉุกเฉิน” เผยคนขับรับความเสี่ยงรอบด้าน

99
ภาพโดย Peggy und Marco Lachmann-Anke จาก Pixabay

ช่วงระยะเวลา 3-4 ปี ที่ผ่านมา  เรามักเห็นข่าวคราวรถพยาบาล หรือ รถฉุกเฉิน ประสบอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง  ทำให้หลายฝ่ายเกิดความห่วงใย และกังวลถึงความปลอดภัยต่อบุคลากรทางการแพทย์  ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขับรถ พยาบาล ผู้ปฏิบัติการทางการแพทย์ฉุกเฉิน ที่คอยช่วยเหลือผู้ป่วยภายในรถ หรือแม้แต่ตัวผู้ป่วยเอง  

โดยข้อมูลในปี 2559 – 2562 เกิดอุบัติเหตุกับรถฉุกเฉินทั้งสิ้น  110 ครั้ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 318 ราย เป็นพยาบาลและบุคลากรในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน 129 ราย ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขณะส่งต่อผู้ป่วยระหว่างสถานพยาบาลถึงร้อยละ 80

ทั้งนี้ที่ผ่านมา สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ  (สพฉ.) ได้กำหนดนโยบายสนับสนุนให้ผู้ป่วยวิกฤตได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพภายในเวลา 8 นาที  ซึ่งการดำเนินนโยบายเช่นนี้ช่วยให้ผู้ป่วยวิกฤตเพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น  แต่ผู้ปฏิบัติงานฉุกเฉินก็ต้องทำงานแข่งกับเวลา คนขับรถต้องขับรถด้วยความรวดเร็วเพื่อไปรับผู้ป่วยวิกฤต ณ สถานที่เกิดเหตุ และนำส่งสถานพยาบาลภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ด้วยลักษณะการทำงานที่เร่งรีบเช่นนี้ ทำให้บุคลากรกลุ่มนี้ได้รับความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรระหว่างการปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้น   และเพื่อสร้างความเข้าใจในความเสี่ยง  สพฉ. และคณะวิจัย นำโดยแพทย์หญิง นภัสวรรณ พชรธนสาร  จึงทำการสำรวจ “สิ่งคุกคามต่อสุขภาพและอุบัติเหตุจราจรระหว่างการปฏิบัติงานของคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉิน”  เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไข   ซึ่งการสำรวจในครั้งนี้เริ่มที่ จังหวัดชลบุรี ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง 199  คน  ในโรงพยาบาลเอกชน 1 แห่ง และมูลนิธิกู้ภัย  3 แห่ง

ผลการศึกษาพบว่า  คนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉิน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุเฉลี่ย 36.7 ปี  ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำร้อยละ 33.2 หรือเฉลี่ย 2.2 ครั้งต่อสัปดาห์  ,  ดื่มกาแฟเป็นประจำร้อยละ 48.7 หรือเฉลี่ย 1.6 แก้วต่อวัน ,  ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังเป็นประจำ ร้อยละ 35.7 หรือเฉลี่ย 1.2 ขวดต่อวัน   , นอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 10.1   และไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำร้อยละ 43.2

ซึ่งในกลุ่มตัวอย่างนี้ มี  42 คน เคยประสบอุบัติเหตุจราจรในช่วงเวลาการทำงาน  56 ครั้ง ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดอุบัติเหตุจราจรคือไปชนยานพาหนะคันอื่นร้อยละ 67.8   และมักจะเกิดในระหว่างช่วงเวลา 20.01 – 24.00 น.มากถึงร้อยละ 67.8    และระหว่างช่วงเวลา 20.01-24.00 น. ร้อยละ 33.9    ด้วยความเร็วในการขับขี่  81-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุมีสาเหตุ มาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านพาหนะ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและกายภาพ

นอกจากนี้ยังได้รับความเสี่ยงจากการสัมผัสกับสิ่งคุกคามในขณะปฏิบัติหน้าที่ อาทิ การสัมผัสเลือดจากผู้ป่วยร้อยละ 49.3 ยกของหนักร้อยละ 46.2   หรืออุบัติเหตุจากของมีคม ถูกทำร้ายร่างกาย  และความกดดันทางจิตใจ   โดยสถิติที่ผ่านมาพบว่าคนขับรถปฏิบัติการฉุกเฉินมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตเป็นจำนวนร้อยละ 16.2

นายแพทย์สัญชัย ชาสมบัติ รองเลขาธิการ  สพฉ.  ระบุว่า  แม้อุบัติเหตุไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่หากมีการเตรียมพร้อม ก็จะช่วยลดตัวเลขการสูญเสียได้   ซึ่งที่ผ่านมา สพฉ. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถพยาบาล  และ สพฉ. ได้ออกประกาศหน่วยปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัย   โดยมาตรฐานของรถ  คือต้องมีอุปกรณ์พร้อม ทั้งเครื่องมือ สิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ เครื่องวัดความดัน อุปกรณ์ในการดูแลผู้ป่วย อุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วย   เก้าอี้นั่งเจ้าหน้าที่ภายในรถ เตียงนอนผู้ป่วย จะต้องมีมาตรฐาน  มีเข็มขัดนิรภัย และอุปกรณ์ผูกรัดมัดตึง เพื่อช่วยรักษาชีวิตบุคคลภายในได้อย่างปลอดภัย

ส่วนมาตรฐานบุคลากร ต้องมีการอบรมพนักงาน อย่างต่อเนื่อง   ไม่เว้นแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ต้องฝึกฝนเช่นกัน เพราะการขึ้นไปอยู่บนรถฉุกเฉิน  ต้องมีทักษะการยืน นั่ง ในรถให้เป็น  และที่สำคัญที่สุด คนขับรถ ต้องขับขี่อย่างปลอดภัย  มีความพร้อม ทั้งสภาพร่างกายจิตใจ มีการตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อมอยู่เสมอเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ