ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ติดท็อป 11 ของทำเนียบซัพพลายเชน

14

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ติดท็อป 11 ของทำเนียบซัพพลายเชนชั้นนำจากการ์ทเนอร์ใน 25 อันดับ กลุ่มธุรกิจชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังได้รับรางวัลเพิ่มเติมด้านซัพพลายเชน หัวข้อ “2019 Industrial Manufacturing Supply Chainnovator” จากการ์ทเนอร์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ประกาศว่าบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นลำดับที่ 11 ของ Gartner Supply Chain Top 25 ประจำปี 2019 นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจชไนเดอร์ ยังชนะเลิศรางวัล 2019 Industrial Manufacturing Supply Chainnovator ซึ่งเป็นรางวัลนวัตกรรมด้านซัพพลายเชน ประจำปี 2019 ของการ์ทเนอร์ “โดยได้รับการยอมรับในด้านความริเริ่มด้านนวัตกรรมซัพพลายเชนรูปแบบใหม่ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิต” การ์ทเนอร์ได้ประกาศรางวัลดังกล่าวระหว่างงานประชุมสัมมนา Gartner Supply Chain Executive Conference 2019 ที่จัดขึ้นในเมืองฟีนิกซ์ รัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา

“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เลื่อนอันดับขึ้นอีกในปีนี้จากการจัดอันดับ 25 ท็อปซัพพลายเชนของการ์ทเนอร์ เราเชื่อว่าความพยายามในการปฏิรูปซัพพลายเชนของเรากำลังก้าวหน้าไปด้วยดี และการจัดอันดับนี้ ถือเป็นแรงบันดาลใจอย่างดีสำหรับทีมงานของเราในการผลักดันโปรแกรม Tailored, Sustainable and Connected 4.0 Supply Chain ไปข้างหน้า ร่วมกับพันธมิตรเพื่อลูกค้าของเรา เรามองว่ารางวัล Industrial Manufacturing Supply Chainnovator คือการให้การยอมรับในเรื่องกลยุทธ์ด้านบุคลากรของเราที่ช่วยสนับสนุนการปฏิรูปสู่ดิจิทัลที่ครอบคลุมถึงบุคลากรทั้งหมดในองค์กร นับเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากบุคลากรถือเป็นเสาหลักของซัพพลายเชน” มูหราด ทาเมาด์ รองประธานอาวุโส ชไนเดอร์ อิเล็คทริค โกลบอล ซัพพลายเชน กล่าวและว่า

ในปี 2018 ที่ผ่านมา ฝ่ายปฏิบัติการส่วน โกลบอล ซัพพลายเชน ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งประกอบไปด้วยโรงงานผลิต 200 แห่งใน 46 ประเทศ รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าอีก 98 แห่ง ด้วยบุคลากรที่แข็งแกร่งจำนวน 86,000 คนที่บริหารจัดการรายการอ้างอิงกว่า 260,000 รายการ รวมถึงกระบวนการด้านการสั่งซื้อกว่า 150,000 รายการในแต่ละวัน

สอดคล้องตามรายงานจากการ์ทเนอร์ในการประกาศ Supply Chain Top 25 “แนวโน้มหลัก 3 ประการที่มีความโดดเด่นอย่างมากในปีนี้ สำหรับบรรดาผู้นำซัพพลายเชนที่กำลังเร่งขยายขีดความสามารถ เพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้อื่นคือ การสร้างระบบที่เป็นส่วนตัวได้ครอบคลุมมากขึ้น การนำระบบนิเวศมาช่วย และผลักดันการใช้กลยุทธ์ดิจิทัลเพื่อนำพาธุรกิจไปข้างหน้า”