KTAM เปิด IPO กองทุน KT-EMEQ วันนี้ถึง 25 มิ.ย. เจาะตลาดเกิดใหม่เพิ่มทางเลือกสร้างผลตอบแทนระยะยาว
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า บริษัทเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนในการกระจายพอร์ตการลงทุน เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีในระยาวยาวเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดเคแทม อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ อิควิตี้ ฟันด์ ( KT-EMEQ) ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 25 มิ.ย. 2562 ด้วยมูลเงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท กองทุน KT-EMEQ เน้นลงทุนในกองทุนรวมวอนทาเบล ฟันด์ – เอ็มทีเอ็กซ์ ซัสเทนเนเบิ้ลอีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ ลีดเดอร์ส ฟันด์ ( Vontobel Fund – mtx Sustainable Emerging Markets Leaders Funds) บริหารโดยวอนทาเบล แอสเซท แมเนจเม้นท์ ในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนนี้ได้รับการจัดอันดับจาก Morning Star 5 ดาว (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนพ.ค. 2562)
กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเฟ้นหาหุ้นที่โดดเด่นที่สุด และมีความสามารถในการทำกำไรที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอุตสาหกรรมต่างๆ ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) รวมถึงหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และดำเนินกิจการอย่างยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)
ทั้งนี้กองทุน KT-EMEQ มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวโดยผลการดำเนินงานของกองทุนรวมหลัก ณ วันที่ 30 พ.ค. 2562 YTD ( 2 ม.ค.- 31 พ.ค. 62 ) อยู่ที่ 7.31 % ย้อนหลัง 3 ปีเฉลี่ยอยู่ที่ 14% ต่อปี และย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 8.22% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าดัชนีอ้างอิง โดยผลตอบแทนย้อนหลัง YTD อยู่ที่ 4.19 % ย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 10.28% ต่อปี และ ย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 2.16% ต่อปี
นางชวินดา มองงว่า หุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets Equity) เป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ โดยช่วงที่เหลือของปีนี้ หุ้นตลาดเกิดใหม่ น่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนหลายประการ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับมามีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ขณะที่จีนและประเทศต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ตลอดจนความชัดเจนทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้งในหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย อินเดีย ไทย เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อตลาดมีการปรับรับกับปัจจัยดังกล่าวได้ คาดว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัว และเป็นช่วงเวลาที่ดี เนื่องจากตลาดเกิดใหม่ถูกกดดันมานาน และราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ถูกมาก ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่มีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต เนื่องจากประชากรในหลายๆ ประเทศ เช่น บราซิล อินเดีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น มีจำนวนประชากรอายุยังน้อยจำนวนมากต่อไปจะเติบโตเป็นวัยแรงงาน ดังนั้นการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจก็จะสูงขึ้น ชนชั้นกลางมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น