โรคไข้เลือดออก ชื่อนี้ยังได้ยินอยู่บ่อยๆ จนเป็นที่คุ้นหูของคนทั่วไป ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ การเพาะพันธุ์ของยุงลายมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อโรคไข้เลือดออกที่จะตามมาในที่สุด โดยจากสถิติกรมควบคุมโรค ปี 2562 (ข้อมูลเริ่มต้นจากวันที่ 1 ม.ค. ถึง วันที่ 25 มิ.ย. 62) พบว่า สถิติคนป่วยไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ณ ช่วงเวลาเดียวกัน 1.6 เท่า ผู้ป่วยเสียชีวิต 54 ราย อัตราป่วยตาย ร้อยละ 0.15
พญ.ฉัฐฐิมา เสาวภาคย์ กุมารเวชศาสตร์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาล พระรามเก้า กล่าวว่า โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในประเทศเขตร้อนและระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี โดยอาการของไข้เลือดออกมีทั้งหมด 3 ระยะ คือ 1. ระยะไข้ ทุกรายจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ส่วนใหญ่มักเกิน 38.5 องศาเซลเซียส มักมีอาการเบื่ออาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ไม่มีน้ำมูก หรือไอ อาจพบผื่น จุดเลือดออกตามผิวหนังได้
2.ระยะวิกฤต (ช็อค) เป็นระยะที่มีการรั่วของน้ำออกนอกหลอดเลือดซึ่งอยู่ในช่วง 24-48 ชั่วโมง ที่มีไข้ลงอย่างรวดเร็ว และประมาณ 1/3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีอาการรุนแรง มีการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว มีภาวะน้ำท่วมปอด ตับวาย ภาวะการรู้สติเปลี่ยนไป และจะเสียชีวิตในเวลา 12-24 ชั่วโมง หลังจากเริ่มช็อค แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาและดูแลอย่างใกล้ชิด ก็จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
และ 3.ระยะฟื้นตัว ในผู้ป่วยที่ไม่ช็อค เมื่อไข้ลดลงส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการดีขึ้น มีปัสสาวะออกมากขึ้น เริ่มมีความอยากอาหาร มีผื่นแดงคันตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า โดยระยะฟื้นตัวใช้เวลา 2-3 วัน ทั้งนี้ ระยะเวลาทั้งหมดของไข้เลือดออก ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนประมาณ 7-10 วัน
ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของไข้เลือดออก ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ป่วยเด็ก เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกแล้วป่วยซ้ำด้วยไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ใหม่ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี่ในบางสายพันธุ์ที่อาจมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าสายพันธุ์อื่น และผู้หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน หรือแท้งบุตรได้
ขณะที่การรักษาโรคไข้เลือดออกในปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก ฉะนั้นการรักษาตามอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และควรมาพบแพทย์หากมีอาการไข้สูง เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย พร้อมช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งในบ้านและในชุมชน ด้วยมาตรการ “3 เก็บ 3 โรค
คือ 1.เก็บบ้านให้สะอาด ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง ล้างคว่ำภาชนะใส่น้ำและเปลี่ยนน้ำในกระถาง หรือแจกันดอกไม้ทุกสัปดาห์ 2.เก็บขยะ เศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง 3.เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำต้องปิดฝามิดชิดป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ ซึ่งการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย จะสามารถป้องกันได้ 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิก้า และโรคไข้ปวดข้อยุงลายอีกด้วย