ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เตือน เฝ้าระวัง ไข้เดงกี (dengue fever) และไข้เลือดออก (dengue hemorrhage fever) ซึ่งพบมากในช่วงฤดูฝน และในพื้นที่น้ำท่วมขัง โดยโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี ที่มียุงลายเป็นพาหะ
ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเป็นไข้เด็งกี พบได้บ่อยในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก มีไข้สูง ปวดเมื่อย ปวดกระดูก ปวดศีรษะ มักไม่พบมีอาการไอหรือมีน้ำมูก อาการเจ็บคอพบได้บ้าง มักพบว่ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้บ่อย ผู้ป่วยมักมีไข้ประมาณ 5 ถึง 7 วันและพบว่าผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมีไข้น้อยกว่า 9 วัน การมีผื่นแบบจุดเลือดออกโดยเฉพาะที่ขา แขน ซึ่งอาจมีอาการคันร่วมด้วยมักพบในช่วง 1-2 วันก่อนที่ไข้จะลดลงหรือผื่นอาจเกิดหลังจากไข้ลดลงแล้ว
ผู้ป่วยไข้เดงกีอาจมีอาการเลือดออกผิดปกติได้ แต่มักไม่รุนแรง พบว่าการใช้อาการทางคลินิกดังกล่าวร่วมกับการตรวจพบภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำหรือเกร็ดเลือดต่ำ และการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการจะทำให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว
ส่วนผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเป็นไข้เลือดออก มักมีไข้สูง อาเจียน และมีเลือดออกผิดปกติ ภาวะเลือดออกมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการมีเกร็ดเลือดต่ำซึ่งภาวะเลือดออกมักพบในช่วงวันที่ 5-8 ของการมีไข้ ผิวหนังเป็นจุดบริเวณแขน ขา รักแร้และลำตัว เลือดออกผิดปกติในตำแหน่งอื่น ๆได้แก่ เลือดออกจากจมูก ผู้หญิงบางรายมีอาการเลือดออกทางช่องคลอด พบว่าในผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกรุนแรง มักพบว่ามีเลือดออกในระบบทางเดินอาหารหรือมีเลือดออกในอวัยวะภายในเช่น เลือดออกในช่องท้อง
ปัจจุบันไม่มียาจำเพาะในการรักษาการติดเชื้อไวรัสเด็งกี ดังนั้นการให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่และการให้สารน้ำและการรักษาตามอาการเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเดงกี ในกรณีที่ผู้ป่วยมีคลื่นไส้อาเจียน ไม่สามารถดื่มน้ำได้ ให้จิบครั้งละน้อยๆ บ่อยๆ ไม่ควรดื่มแต่น้ำเปล่าอย่างเดียว อาหารควรเป็นอาหารอ่อน แพทย์อาจพิจารณาให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดแก่ผู้ป่วยโดยการอาศัยการประเมินอาการและติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ในกรณีที่มีไข้สูงสามารถให้ยาพาราเซตตามอล แต่ห้ามรับประทานยาลดไข้ชนิดอื่นโดยเฉพาะยาแอสไพริน
อย่างไรก็ตามยาลดไข้จะช่วยให้ไข้ลดลงชั่วคราวเท่านั้นเมื่อหมดฤทธิ์ยาแล้วไข้ก็จะสูงขึ้นอีก พบว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเดงกีบางรายมีภาวะตับอักเสบร่วมกับมีอาการคลื่นไส้/อาเจียนซึ่งมักพบในช่วง 5-7 วันหลังมีไข้ดังนั้นควรระมัดระวังการใช้ยาซึ่งมีผลทำให้เกิดตับอักเสบมากขึ้นโดยเฉพาะการที่ผู้ป่วยรับประทานยาพาราเซตตามอลเพื่อลดไข้ในขนาดสูงและบ่อยเป็นเวลานาน (5-7 วัน) ติดต่อกัน รวมทั้งการได้รับยาอื่นๆที่มีผลต่อตับเช่น ยาแก้อาเจียนบางชนิด ยาป้องกันชัก ยาปฏิชีวนะบางชนิด ที่อาจมีผลทำให้ผู้ป่วยมีตับอักเสบรุนแรงได้
การป้องกันโรคไข้เดงกีและไข้เลือดออก คือ ไม่ให้ยุงกัดและการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดโรค เช่นควรนอนในมุ้งหรือในห้องติดมุ้งลวดที่ปลอดยุงลาย กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น แจกันดอกไม้ควรเปลี่ยนน้ำทุกวัน กำจัดยุงด้วยการพ่นสารเคมีในบริเวณมุมอับภายในบ้านและบริเวณรอบๆบ้าน กำจัดลูกน้ำ ภาชนะใส่น้ำภายในบ้านปิดฝาให้มิดชิด
ถ้าไม่สามารถปิดได้ให้ใส่ทรายอะเบทหรือใส่ปลาหางนกยูง ไม่ให้มีวัสดุที่เหลือใช้รอบๆบ้าน เช่น กระป๋อง กะลา ยางรถยนต์เก่า ปัจจุบันมีการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกีมาอย่างต่อเนื่อง วัคซีนป้องกันการติดเชื้อมีความก้าวหน้าไปจนถึงการทดสอบในระยะที่ 3 พบว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเดงกี และมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกีได้ อย่างไรก็ตามวัคซีนดังกล่าวยังไม่มีการผลิตเพื่อใช้สำหรับประชาชนทั่วไป