การเปิดโอกาสนักศึกษานานาชาติ และนักศึกษาไทยภายในมหาวิทยาลัยมหิดลได้ทำกิจกรรมร่วมกัน คือ หัวใจสำคัญเพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นนานาชาติให้เกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดงาน “Mahidol University International Night 2019” ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นด้วยธีม “Cultural Synergy” หรือ ความกลมกลืนของการรวมวัฒนธรรมที่แตกต่างกันให้เป็นหนึ่งเดียว เหมือนภาพโมเสกที่มีความแตกต่างกัน เมื่อมารวมกันก่อให้เกิดภาพที่งดงาม
งาน “Mahidol University International Night 2019” จัดขึ้นโดย กองวิเทศสัมพันธ์ สำนักงานอธิการบดี ร่วมกับ ส่วนงานต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยมหิดล โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ธันย์ สุภัทรพันธุ์ รักษาการแทนรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ได้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.นภเรณู สัจจรักษ์ ธีระฐิติ รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จงดี โตอิ้ม รักษาการแทนผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ ร่วมด้วย ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้บริหารส่วนงานต่างๆ ณ อาคารพิพิธภัณฑ์ดนตรีในภูมิภาคอุษาคเนย์ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
ภายในงานได้จัดให้มีกิจกรรมที่แสดงถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายน่าประทับใจ จากการแสดงของนักศึกษาไทยและนักศึกษาต่างชาติ อาทิ การแสดงดนตรีไทยโดยนักศึกษาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ การแสดงจากนักศึกษาไทย “Thai Bamboo Dance” คณะศิลปศาสตร์ การแสดงจากนักศึกษาภูฏาน คณะวิทยาศาสตร์ การแสดงจากนักศึกษาเนปาล “Nepali Jhalak” และการแสดงจากนักศึกษาอินโดนีเซีย พร้อมด้วยการเล่นเกม และชิงของรางวัลมากมาย ปิดท้ายด้วยการประกวด Mr.&Ms. Mahidol University International Night 2019 ซึ่งคัดเลือกจากการแต่งกายที่โดดเด่น และทักษะการตอบคำถามที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์
โดย Mr. Mahidol University International Night 2019 ในปีนี้ ได้แก่ Mr.Rainier Villanueva Ples จากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์และศัลยกรรม มหาวิทยาลัยซานโตโทมัส ประเทศฟิลิปปินส์ และปัจจุบันกำลังเรียนวิชาเลือกทางคลินิกศัลยกรรมพลาสติกและใบหน้าขากรรไกรและหูคอจมูกที่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล Mr.Rainier Villanueva Ples ได้เล่าถึงสาเหตุที่เลือกเรียนที่รามา เนื่องจากต้องการเรียนรู้จากสิ่งที่ดีที่สุด ก่อนเดินทางมาเมืองไทย ได้พยายามค้นคว้าถึงความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม สิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ คิดว่าการมีเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญ โดยการแสดงความเคารพผู้อื่น คือ ขั้นตอนแรกในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น และการได้เพื่อนใหม่ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากเพื่อนๆ ซึ่งตัวเองต้องการจะเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจและไมตรีจิต ของทุกคน โดยจะขอเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี และจะกลับมาที่มหิดลอีกแน่นอน
ด้าน Ms. Mahidol University International Night 2019 ในปีนี้ ได้แก่ Mrs.Philomena Joboe Strother จากประเทศไลบีเรีย เป็นพยาบาลวิชาชีพที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน HIV/AIDS ของโรงพยาบาล Jackson F Doe Memorial Regional Referral Hospital ประเทศไลบีเรีย ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาโทที่คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเหตุผลที่เลือกศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องจากเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด และเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องคุณภาพการศึกษา นอกจากนี้ คิดว่าวัฒนธรรมไทยมีความแตกต่างจากวัฒนธรรมบ้านเกิด ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ซึ่งตัวเองกำลังใช้เวลาในการปรับตัว โดยการเรียนรู้จากคนรอบข้าง สำหรับเรื่องการมุ่งสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก คิดว่านอกจากการให้ความสำคัญกับเรื่องผลการศึกษาและการวิจัยแล้ว ควรให้ความสำคัญกับเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมควบคู่กันไปด้วย นอกจากนี้ เมื่อตัวเองกลับไปยังบ้านเกิด จะทำหน้าที่ทูตวัฒนธรรมบอกเล่าถึงความประทับใจในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่ยอดเยี่ยมของมหาวิทยาลัยมหิดลให้ชาวไลบีเรียนได้รู้จักโดยทั่วกันด้วย
ผู้ได้รับตำแหน่ง Popular Vote ซึ่งเป็นนักศึกษาชาวเมียนมาร์ Dr.Kaung Nyein Aye กำลังศึกษาในหลักสูตร MPH (หลักสูตรนานาชาติ) คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ที่เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องจากเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย ทั้งในด้านการเรียนการสอน และการวิจัย เนื่องจากประเทศไทย และเมียนมาร์มีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน และตัวเองก็เป็นชาวพุทธ จึงไม่ยากที่จะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมและสังคมไทย เชื่อว่าวัฒนธรรมเป็นกลไกการควบคุมทางสังคมที่กำหนดมาตรฐาน และพฤติกรรมของผู้คน ซึ่งจากการได้ใกล้ชิดกับเพื่อนๆ คนไทย ทำให้ตัวเองรู้สึกพึงพอใจ และมีความมั่นใจในการศึกษาที่ประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ จากวิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยม และวัฒนธรรมองค์กรของมหาวิทยาลัยมหิดล ทำให้ตัวเองมั่นใจว่าเป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำด้านสาธารณสุขสำหรับวิชาชีพในอนาคต โดยได้มีการพัฒนาทักษะการจัดการ ความเป็นผู้นำ และระบบทางความคิด เพื่อการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ