“ไปรษณีย์ไทย” ขอบคุณคนไทยที่เชื่อมั่นสูงถึง 88%

19

“ไปรษณีย์ไทย” ขอบคุณคนไทยที่เชื่อมั่นและเลือกใช้บริการไปรษณีย์ไทย เป็นลำดับแรก เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นสูงถึง 88% พร้อมมุ่งมั่นพัฒนาบริการ ‘ส่งเร็ว-ส่งดี’ ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการทุกคน

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นในแบรนด์ไปรษณีย์ไทย ปี 2562 สูงถึงร้อยละ 88 ซึ่งสูงกว่าปี 2561 ที่ผลสำรวจอยู่ที่ร้อยละ 85.6 โดยมีปัจจัยจากการยกระดับคุณภาพบริการให้มีความรวดเร็วตอบโจทย์ตลาดอีคอมเมิร์ซ ด้วยบริการ EMS Same Day/ Next Day บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ไปรษณีย์ 24 ชั่วโมง 365 วัน และในปี 2563 ไปรษณีย์ไทยเตรียมพร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยการติดตั้งเครื่องคัดแยกเพิ่มอีก 7 เครื่อง สามารถรองรับปริมาณชิ้นงานได้กว่า 60 ล้านชิ้นต่อเดือน มุ่งมั่นส่งมอบคุณภาพบริการ “ส่งด่วน-ส่งดี” เพื่อผู้ใช้บริการไทยทุกคน

นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ในทุกๆ ปีไปรษณีย์ไทยมีการสำรวจเกี่ยวกับความเชื่อมั่นในแบรนด์ไปรษณีย์ไทย เพื่อนำความคิดเห็นจากบุคคลทั่วไปที่มีต่อไปรษณีย์ไทยมาปรับปรุงคุณภาพบริการให้ดียิ่งขึ้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งตั้งแต่ปี 2560 ผลสำรวจความเชื่อมั่นของไปรษณีย์ไทยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยในปี 2560 ผลสำรวจอยู่ที่ร้อยละ 82.8 ปี 2561 ผลสำรวจอยู่ที่ร้อยละ 85.6 และในปี 2562 ผลสำรวจอยู่ที่ร้อยละ 88 โดยเก็บข้อมูลกับกลุ่มลูกค้า/ประชาชนที่ใช้บริการไปรษณีย์ และไม่ได้ใช้บริการไปรษณีย์ ระหว่างวันที่ 18 ต.ค. 2562 – 18 พ.ย. 2562 จำนวน 3,840 ราย แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้บริการมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ไปรษณีย์ไทยมากยิ่งขึ้น

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้บริการเชื่อมั่นในไปรษณีย์ไทยมาจากการพัฒนาคุณภาพบริการให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยได้พัฒนาคุณภาพบริการ EMS ในประเทศจากเดิมที่ใช้เวลา 2-3 วันในการส่ง ให้เร็วขึ้นเป็น ส่งเช้าได้บ่าย ส่งได้บ่ายวันรุ่งขึ้น หรือ Same Day/ Next Day โดยปัจจุบันไปรษณีย์ไทยสามารถให้บริการ EMS Same Day ได้แล้วทุกพื้นที่สำหรับการฝากส่งภายใน 11.00 น. ในกรุงเทพ/ ปริมณฑล และการฝากส่งในพื้นที่อำเภอเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน ส่วน EMS Next Day Day ฝากส่งภายใน 17.00 น. นำจ่ายภายในวันรุ่งขึ้น จากต้นทางพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี ถึงปลายทางไปรษณีย์จังหวัดทุกแห่ง (ยกเว้นไปรษณีย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน) และจากต้นทางไปรษณีย์จังหวัดทุกแห่ง (ยกเว้น ไปรษณีย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน) ถึงปลายทางพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยเล็งเห็นถึงการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 20% โดยในปี 2562 ไปรษณีย์ไทยรองรับปริมาณสิ่งของฝากแล้วกว่า 3,000 ล้านชิ้น และคาดว่าจะมีปริมาณชิ้นงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ จึงมีการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการปูพรมติดตั้งเครื่องคัดแยกเพิ่มพัสดุแบบกล่อง หรือ Cross Belt Sorter ที่มีประสิทธิภาพในการคัดแยกสิ่งของได้กว่า 6,500,000 ชิ้นต่อเดือน ณ ศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่ เพื่อรองรับปริมาณงานทั่วประเทศที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2563 โดยการติดตั้งเครื่อง Cross Belt Sorter ณ ศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่ นับเป็นเครื่องที่ 2 ต่อจากศูนย์ไปรษณีย์ศรีราชา มีประสิทธิภาพในการคัดแยกสิ่งของได้กว่า 6,500,000 ชิ้นต่อเดือน ซึ่งเมื่อรวมศักยภาพของทั้งสองเครื่องแล้วจะรองรับปริมาณงานได้มากถึง 13,000,000 ชิ้นต่อเดือน และในปี 2563 จะติดตั้งเครื่องคัดแยก ณ ศูนย์ไปรษณีย์ อีก 7 แห่ง รวมเป็น 9 เครื่อง ซึ่งเมื่อใช้งานอย่างเต็มระบบจะสามารถรองรับปริมาณงานได้ 60,000,000 ชิ้นต่อเดือน

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้บริการเชื่อมั่นในแบรนด์ไปรษณีย์ไทยคือความมุ่งมั่นให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ Cash On Delivery (COD) หรือบริการเก็บเงินปลายทาง ผ่าน Wallet@post ซึ่งผู้ส่งจะได้รับค่าสินค้ากลับเข้าสู่ระบบภายใน 2 วัน ส่วนผู้รับสามารถเลือกชำระค่าสินค้าได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ เงินสด แอปพลิเคชันWallet@Post และโมบายแบงค์กิ้ง อีกทั้งไปรษณีย์ไทยยังได้ขยายเวลาให้บริการถึง 23.00 น. ที่ไปรษณีย์สามเสนใน ไปรษณีย์สำเหร่ ไปรษณีย์จรเข้บัว ไปรษณีย์นนทบุรี และ “ไปรษณีย์ 24 ชั่วโมง 365 วัน” ที่เปิดให้บริการฝากส่งไม่มีวันหยุดที่ไปรษณีย์เดอะสตรีท รัชดา ไปรษณีย์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปรษณีย์ศูนย์การค้า white mall และศูนย์ไปรษณีย์ EMS หลักสี่”

ไปรษณีย์ขอขอบคุณผู้ใช้บริการไทยทุกคนที่เชื่อมั่นและเลือกใช้บริการ ของไปรษณีย์ไทยเสมอมา ทั้งนี้ ในปี 2563 ไปรษณีย์ไทยพร้อมที่จะส่งต่อบริการที่มีคุณภาพ “ส่งด่วน-ส่งดี” เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม พร้อมทั้งใช้ศักยภาพในการเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ ของคนไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงด้วยมาตรฐานสากลที่ผู้ใช้บริการไทยนึกถึงลำดับแรกต่อไป นางสมร กล่าวสรุป