โดนแกล้งไม่ใช่เรื่องเด็กๆ ปัญหา “บูลลี่” ที่ทุกคนต้องสำนึก

216
ภาพโดย Gerd Altmann จาก Pixabay

ไม่มีใครอยากถูกล้อเลียนหรือกลั่นแกล้ง แต่ปัญหาการทำร้ายร่างกายและจิตใจผู้อื่น ก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ของสังคมไทย ไม่ว่าจะในกลุ่มเด็กหรือผู้ใหญ่ หากไม่มีสำนึกในการให้เกียรติผู้อื่น ปัญหาก็ยังไม่มีวันจบสิ้น จึงถึงเวลาแล้ว ที่ทุกภาคส่วนของสังคมต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

ไม่นานมานี้ เครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม ร่วมกับ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว และเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเสวนาหัวข้อ “BULLYING” กลั่นแกล้ง ความรุนแรงที่รอวันประทุ” เพื่อหาทางออกและวิธีแก้ไขปัญหาเด็กโดนกลั่นแกล้ง หรือ บูลลี่

นายอธิวัฒน์  เนียมมีศรี  เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน กล่าวว่า เครือข่ายฯ ได้ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “บลูลี่ กลั่นแกล้ง ความรุนแรง ในสถานศึกษา” ในกลุ่มเด็ก อายุ10-15 ปี จาก 15 โรงเรียน  พบว่า ร้อยละ 91.79 เคยถูกบูลลี่ ส่วนวิธีที่ใช้บูลลี่ คือ การตบหัว ร้อยละ 62.07 รองลงมา ล้อบุพการี ร้อยละ43.57 พูดจาเหยียดหยาม ร้อยละ41.78 และอื่นๆ เช่น นินทา ด่าทอ ชกต่อย ล้อปมด้อย พูดเชิงให้ร้าย เสียดสี กลั่นแกล้งในสื่อออนไลน์  นอกจากนี้  1 ใน 3 หรือ ร้อยละ 35.33 ระบุว่า เคยถูกกลั่นแกล้งประมาณเทอมละ 2 ครั้ง ที่น่าห่วงคือ 1 ใน 4 หรือ ร้อยละ 24.86 ถูกกลั่นแกล้งมากถึงสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ส่วนคนที่แกล้งคือ เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง

“เด็กๆ ร้อยละ 68.93 มองว่า การบูลลี่ ถือเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง และผลกระทบที่เห็นได้ชัด คือ  ร้อยละ 42.86  คิดจะโต้ตอบเอาคืน  ร้อยละ 26.33 มีความเครียด ร้อยละ 18.2 ไม่มีสมาธิกับการเรียน ร้อยละ 15.73  ไม่อยากไปโรงเรียน ร้อยละ 15.6 เก็บตัว และร้อยละ 13.4  ซึมเศร้า นอกจากนี้ เด็กๆยังต้องการให้ทางโรงเรียนมีบทลงโทษที่ชัดเจน มีครูให้คำปรึกษา จัดกิจกรรมสร้างความเข้าใจ”นายอธิวัฒน์  กล่าว

นายอธิวัฒน์  กล่าวต่อว่า สังคมไทยต้องเลิกมองเรื่องบูลลี่ กลั่นแกล้งกัน เป็นเรื่องเด็กๆ ปกติธรรมดาแล้วปล่อยผ่าน  ต้องให้ความสำคัญ และสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้อง  เร่งปลูกฝังเรื่องการเคารพสิทธิเนื้อตัวร่างกาย  การให้เกียรติกัน  ทั้งในระดับครอบครัวและในสถานศึกษา   กระทรวงศึกษาธิการก็ต้องให้ความสำคัญกับปัญหาบูลลี่  กลั่นแกล้ง ควรกำหนดให้สถานศึกษามีช่องทางให้เด็กๆ สามารถบอกเล่าปัญหา เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเป็นมิตร และปิดลับ และหากสถานศึกษาไม่สามารถรับมือกับปัญหาและสุ่มเสี่ยงที่ปัญหาจะใหญ่ขึ้น   ต้องใช้กลไกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546  เพื่อเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือแก้ไข ซึ่งตรงนี้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ที่มีกลไกพนักงานเจ้าหน้าที่อยู่ทั่วประเทศ  ต้องเร่งออกแบบกระบวนการช่วยเหลือให้เป็นระบบ  โดยอาจดึงองค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรด้านเด็กเข้ามามีส่วนร่วม

นางสาวฐาณิชชา ลิ้มพานิช ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า ปัจจุบันด้วยเทคโนลียีที่เปลี่ยนไปทำให้รูปแบบของการบูลลี่ เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น แชร์การล้อเลียนอย่างรวดเร็ว ทำให้การถูกกลั่นแกล้งไม่ได้อยู่แค่ภายในโรงเรียน จนส่งผลให้เด็กที่ถูกบูลลี่เลือกใช้ความรุนแรง เพื่อป้องกันตนเอง ทั้งนี้จากงานวิจัยของกรมสุขภาพจิตพบว่าการใช้ความรุนแรง  การข่มเหงรังแกกันหรือการบูลลี่ในประเทศไทยติดอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหมายความว่าการบูลลี่ในไทยมีระดับความถี่ที่รุนแรง นอกจากนี้ยังพบว่า อายุเด็กที่ถูกบูลลี่จะน้อยลงไปเรื่อยๆ จากงานวิจัยยังพบอีกว่าเด็กที่รังแกคนอื่น มีพื้นฐานด้านการขาดอำนาจบางอย่างในวัยเด็ก ถูกการเลี้ยงดูเชิงลบ รวมถึงพันธุกรรมทางสมอง จนนำไปสู่การรังแกกลั่นแกล้งคนอื่นในวัยที่โตขึ้น ซึ่งพฤติกรรมนี้จะเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความเคยชิน ทำได้แนบเนียนและรุนแรงขึ้น ส่วนเด็กที่ถูกบูลลี่ จะมีอาการซึมเศร้า ไม่อยากไปโรงเรียน ในบางรายอาจถึงขึ้น คิดสั้น

“ผู้ปกครองอย่าปล่อยให้เด็กเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ต้องคอยสังเกตอาการและสอบถาม เมื่อเด็กส่งสัญญานที่ผิดปกติ เช่น ดูหงุดหงิด  วิตกกังวล มีความกลัว ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากคุยกับใคร หรือมีร่องรอยตามร่างกาย   ผู้ปกครองควรสร้างบรรยากาศแห่งความไว้ใจ  ชวนคุยให้เขาเล่าปัญหาเพื่อช่วยหาทางออก  หารือกับครูที่ปรึกษา  ข้อสำคัญคือการเป็นแบบอย่างที่ดี ทำให้เด็กนำสิ่งเหล่านี้ไปแก้ปัญหา เลี้ยงดูเชิงบวก อาทิ ไม่เปรียบเทียบ ใช้คำพูดที่สุภาพ ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เด็กลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการบูลลี่ได้ ทั้งนี้อยากเสนอให้โรงเรียนมีมาตรการครูแนะแนวปรึกษาปัญหา เปิดพื้นที่สำหรับเด็ก กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนในโรงเรียน เมื่อเกิดเหตุให้แจ้งทันที” นางสาวฐาณิชชา  กล่าว

นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ถ้าสำรวจรากเหง้าแห่งความเป็นไทยเรามีทุนหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์บูลลี่ให้เติบโตอย่างแข็งแรง อาทิ การใช้คำพูดล้อเลียน หยามเหยียด เสียดสี คนที่มีปมด้อย สร้างปมด้อย สร้างแผลใจให้คน รวมถึงการมองคนที่มีความแตกต่างเป็นเรื่องน่าขำ ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางด้านร่างกายหรือภาษา สมัยก่อนความรุนแรงอาจไม่ถึงขั้นฆ่าตัวตาย เพราะสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ไม่โดดเดี่ยว ช่วยเยียวยาเด็ก แต่ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป คนอยู่โดดเดี่ยวมากขึ้น ทำให้คนเปราะบางเมื่อถูกบูลลี่จะเกิดการตอบโต้อย่างรุนแรง รวมถึงการทำร้ายตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็นการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง ที่พ่อ แม่ ครู คนทำงาน ต้องตีความใหม่และร่วมสร้างเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนหนักให้เป็นเบา ช่วยหาทางออกที่ดีต่อทุกฝ่าย

นางทิชา กล่าวต่อว่า ในฐานะที่บ้านกาญฯ มีหน้าที่แก้ไขฟื้นฟูเยียวยาเยาวชน หลังจากไปก่อคดีจนมีผู้เสียหาย เครื่องมือที่ช่วยลดความรุนแรง คือการเปิดพื้นที่เรียนวิชาชีวิตกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะทุกครั้งที่มีข่าวการบูลลี่ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ ทางบ้านกาญจนาฯจะนำมาถอดบทเรียนเพื่อค้นหาที่มาที่ไป ใครได้ใครเสีย รวมถึงห่วงโซ่แห่งความเสียหาย เพื่อระดมความคิด ร่วมหาคำตอบด้วยกัน การเรียนวิชา ชีวิตในมิตินี้ทำให้เยาวชนที่เคยบูลลี่คนอื่นหรือถูกบูลลี่และพัฒนาเป็นผู้ใช้ความรุนแรงโต้กลับ จนจบลงที่การกระทำผิดกฎหมาย ถือเป็นห่วงโซความเสียหายที่ชัดเจนขึ้น ดังนั้นหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กที่เปาะบางคงเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองและครูบาอาจารย์ ควรเพิ่มพื้นที่ให้เด็กเหล่านี้มากขึ้น แต่จะดีกว่าหากการเรียนวิชาชีวิตในมิตินี้จะเริ่มที่โรงเรียนหรือช่วงต้นน้ำ ซึ่งเท่ากับเปิดงานเฝ้าระวังที่ชัดเจนตรงประเด็น แทนที่จะปล่อยให้เยาวชนก้าวพลาดและมาเรียนวิชาชีวิตในพื้นที่ปลายน้ำ  ปัจจุบันมีบทเรียนการทำงานแก้ไขปัญหาเหล่านี้ที่สามารถศึกษาได้  ควรทำความเข้าใจและนำมาออกแบบกระบวนการที่เหมาะสมกับบริบทของตัวเอง

ขณะที่ นายจีระศักดิ์  หนูแดง หรือยอร์ค อายุ 30 ปี อดีตเยาวชนที่เคยผ่านปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และถูกบูลลี่ กลั่นแกล้ง ในสถานศึกษา กล่าวว่า ในวัยเด็กได้ย้ายโรงเรียนจากต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในเมือง จึงถูกเพื่อนล้อเลียนและกลั่นแกล้งเป็นประจำ ซึ่งตนทำได้แค่นิ่งเฉยไม่โต้ตอบกลับ แต่เมื่อถูกกลั่นแกล้งหนักเข้าจนเก็บสะสมมานานหลายเดือน ทำให้เกิดความโมโหควบคุมสติไม่อยู่จนคว้าเก้าอี้ฟาดหัวเพื่อน ซึ่งวิธีนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีแน่นอน แต่ผลคือทำให้เพื่อนคนดังกล่าวกลั่นแกล้งน้อยลง แต่ผ่านมาได้ไม่นานตนยังถูกกลั่นแกล้งและล้อเลียนอีก จึงทำให้เกิดความรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียน และออกจากโรงเรียนกลางคัน ทั้งนี้จุดเปลี่ยนชีวิตได้เกิดขึ้นหลังจากที่เข้าไปอยู่ในสถานคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กชายจังหวัดระยอง สถานที่นี้ได้หล่อหลอมให้ทุกคนมีสติ เข้าใจตัวเองเข้าใจคนอื่น  และมีการศึกษา การทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนเป็นประจำ ได้พูดคุยกับนักจิตวิทยา ทำให้ทุกคนสามารถแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง เห็นคุณค่าตัวเอง

“ผมเชื่อว่าสถาบันการศึกษาและสถาบันครอบครัว เป็น 2 สถาบันหลัก ที่ช่วยแก้ไขปัญหาระหว่างเด็กที่ถูกบูลลี่และเด็กที่บูลลี่คนอื่นได้ เช่น โรงเรียนควรมีอาจารย์แนะแนวหรือนักจิตวิทยาที่คอยให้คำปรึกษาแก่เด็กที่กำลังเผชิญปัญหาการถูกกลั่นแกล้ง หรือควรหากิจกรรมให้เด็กทั้ง 2 กลุ่มทำร่วมกันเพื่อละลายพฤติกรรม ส่วนผู้ปกครองควรดูแลเอาใจใส่พูดคุยกับลูกมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดปัญหาความรุนแรงของเด็กในโรงเรียนได้  การทำให้เขารู้จักการเคารพให้เกียรติผู้อื่น  ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กๆและต้องจริงจัง” นายจีระศักดิ์ กล่าว