บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ ผนึก มศว. ยกระดับการแพทย์ไทย หนุนวิจัยกัญชา

5
นายแพทย์บุญ วนาสิน

บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ผนึกความร่วมมือ มศว ยกระดับการแพทย์ไทย หนุนวิจัยกัญชา พร้อมร่วมมือด้านบริการวิชาการแก่ศูนย์หัวใจ ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน

บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ลงนาม MOU มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สนับสนุนวิจัยกัญชาใช้ในทางการแพทย์เพื่อการดูแลรักษาคนไข้ บรรเทาอาการเจ็บป่วย ร่วมยกระดับวงการแพทย์ไทย พร้อมผนึกความร่วมมือด้านบริการวิชาการแก่ศูนย์หัวใจของศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน เพื่อให้บริการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบครบวงวจรแก่ประชาชน ชูจุดเด่นเป็นศูนย์ Excellent Center เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ผู้นำธุรกิจดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรและบริการที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ภายใต้แนวคิด ‘ดูแลคุณในทุกช่วงชีวิต’ (Lifetime Health Guardian For All) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์ โดยการนำนวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดจากงานวิจัยมาใช้ในการดูแลรักษาคนไข้และพัฒนาวงการแพทย์ไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ล่าสุด THG ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว) ในการสนับสนุนงานวิจัยกัญชาร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์เช่นเดียวกับที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทฯ พร้อมให้การสนับสนุน รวมทั้งให้คำปรึกษา เพื่อนำไปสู่การพัฒนากระบวนการผลิต สกัดและใช้พืชกัญชาและกัญชงที่มีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ และบำบัดโรค ภายใต้การควบคุมและดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่มุ่งขับเคลื่อนการใช้กัญชาทางการแพทย์ เพื่อนำมาใช้ส่งเสริมกับการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย รวมถึงผลักดันกัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต

“เราพร้อมให้การสนับสนุนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ เพื่อนำสารสกัดจากกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และร่วมพัฒนาวงการแพทย์ไทยมีความก้าวหน้า ซึ่งจำเป็นต้องมีการวิจัยโดยทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อพัฒนาสายพันธุ์กัญชา สกัดสารจากกัญชา และศึกษาปริมาณการใช้สารสกัดจากกัญชาในระดับที่เหมาะสมต่อการรักษาโรคแต่ละชนิด เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการดูแลรักษาคนไข้ต่อไป” นายแพทย์บุญ กล่าว

รศ.ดร.สมชาย สันติวัฒนกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า จากการสนับสนุนของ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ในด้านความร่วมมือทางวิชาการและวิจัยพืชกัญชาและกัญชงเพื่อให้บริการทางการแพทย์ ภายใต้การกำกับดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ บทบาทหน้าที่ของ มศว จะร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งครอบคลุมถึงการคิดค้น การผลิต พัฒนาสายพันธุ์จากพืชกัญชาและกัญชงที่จะเป็นวัตถุดิบให้มีคุณภาพมาตรฐานสากล การทดลองทางการแพทย์ต่างๆ รวมถึงดำเนินการวิจัยและจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาคนไข้ การวัดผลการรักษาคนไข้แต่ละกลุ่มโรคและอาการเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์

สำหรับการศึกษาวิจัยพืชกัญชาและกัญชงครั้งนี้ คาดหวังจะนำไปสู่การใช้เป็นสูตรตำรับยาและบำบัดรักษาโรคเพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานทางการแพทย์ ส่งเสริมความมั่นคงด้านเวชภัณฑ์ยา และนำมาใช้เสริมประสิทธิภาพกับการรักษาโรคด้วยแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาอาการเจ็บป่วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกัญชามีทั้งคุณประโยชน์และสามารถให้โทษต่อร่างกายได้ จึงมีความจำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพื่อนำไปใช้อย่างถูกต้องภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

“การนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ยังจำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติม โดยอาจจัดตั้งศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสายพันธุ์กัญชาแบบครบวงจร การศึกษาพัฒนากระบวนการสกัดสารจากกัญชาและกัญชงที่ได้คุณภาพมาตรฐาน การศึกษาปริมาณที่เหมาะสมในการนำสารสกัดจากกัญชาและกัญชง เช่น สาร THC (Tetrahydrocannabinol), สาร CBD (Cannabidiol) เป็นต้น มาใช้ในการรักษาโรคโดยไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย ตลอดจนการศึกษาวิจัยผลการตอบสนองต่อการรักษาในคนไข้แต่ละราย นอกจากนี้ยังต้องรอการปลดล็อกด้านข้อกฎหมายต่างๆ เนื่องจากในปัจจุบันกัญชายังจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 สามารถนำไปศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น” รศ.ดร.สมชาย กล่าว

ทั้งนี้ นอกจากความร่วมมือในการวิจัยกัญชา มศว มีความมุ่งมั่นพัฒนาศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน ในสังกัด มศว (ชื่อเดิมคือ รพ.ชลประทาน) ให้เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ล่าสุด มศว จึงคัดเลือกให้บริษัท ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลธนบุรี จำกัด ในเครือ THG เข้าร่วมมือด้านการบริการวิชาการแก่ศูนย์หัวใจของศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน ในสังกัด มศว เพื่อยกระดับการให้บริการและเป็นทางเลือกสำหรับการรักษาพยาบาลให้แก่คนไข้ที่มีอาการของโรคดังกล่าว ซึ่งยังมีความต้องการด้านการรักษาอีกเป็นจำนวนมาก

นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า THG ได้นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดแก่คนไข้จากการบริหารศูนย์หัวใจให้กับโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนกว่า 7 ปี เพื่อร่วมมือด้านการบริการวิชาการแก่ศูนย์หัวใจของศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน ในสังกัด มศว เป็นระยะเวลา 3 ปี ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลธนบุรี จำกัด ในเครือ THG

เพื่อให้บริการดูแลรักษาคนไข้ในจังหวัดนนทบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงที่มีอาการเกี่ยวกับโรคหัวใจและโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อช่วยเหลือประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างทันท่วงที ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต ตลอดจนให้การสนับสนุนด้านวิชาการด้านการแพทย์แก่ มศว อีกด้วย คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในไตรมาส 3 นี้

จุดเด่นของศูนย์หัวใจดังกล่าวได้รับการพัฒนาเป็น Excellent Center ที่เปิดให้บริการแก่คนไข้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบครบวงจร เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้า, การใส่ขดลวดเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจ, การผ่าตัดลิ้นหัวใจรั่ว เป็นต้น นับว่าเป็นศูนย์หัวใจที่มีความทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง คาดว่าจะมีคนไข้เข้าใช้บริการเดือนละ 150 – 200 ราย โดยจะเริ่มต้นจากการให้บริการแก่คนไข้ที่ใช้สิทธิข้าราชการและคนไข้ทั่วไป ก่อนขยายไปสู่คนไข้สิทธิประกันสังคมและคนไข้ที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.สุรสิทธิ์ ตั้งสกุลวัฒนา ผู้อำนวยการ ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มศว กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือด้านการบริการวิชาการกับบริษัท ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลธนบุรี จำกัด ในเครือ THG นี้ มุ่งหวังจะขยายขอบเขตการให้บริการรักษาคนไข้โรคหัวใจและหลอดเลือดของ ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มศว และตอบสนองประชาชนในละแวกใกล้เคียงโรงพยาบาล ที่มีความต้องการเข้ารับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ศูนย์หัวใจ ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มศว ได้จัดเตรียมหอผู้ป่วยในเพื่อรองรับคนไข้โรคหัวใจและหลอดเลือดโดยเฉพาะ คาดว่าหลังเปิดให้บริการจะได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน ซึ่งยังมีความต้องการเข้าถึงการรักษาโรคดังกล่าวอีกเป็นจำนวนมาก