สธ.เผยผู้ติดเชื้อบุคลากรการแพทย์รายใหม่ เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงในระบบเฝ้าระวังและกักกันโรค

3

กระทรวงสาธารณสุข เผยกรณีบุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติงานใน ASQ ติดเชื้อเพิ่ม 1 ราย เป็นเพื่อนร่วมงานของผู้ป่วยยืนยัน กลุ่มเสี่ยงสูงที่อยู่ในระบบเฝ้าระวังและกักกันโรค ผลตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำในรพ.เอกชนที่ทำงานทั้งหมด 851 ราย ผลออกแล้ว 745 รายไม่พบเชื้อ ส่วนสถานการณ์โรคโควิด 19 กรณีจ.ท่าขี้เหล็กควบคุมได้ จำนวนผู้ติดเชื้อรวม 46 ราย

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด 19 (ศบค.) พร้อมด้วย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ความคืบหน้ากรณี จ.เชียงราย และกรณีพบผู้ติดเชื้อในประเทศ ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย วันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 18 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ากักตัวในสถานกักกันทุกประเภท 17 ราย และพบผู้ติดเชื้อในประเทศ 1 ราย เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงของผู้ป่วยยืนยัน รักษาหายกลับบ้านเพิ่ม 8 ราย

ผู้ป่วยสะสม 4,169 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 ราย มาจากต่างประเทศ 1,707 ราย เข้าสถานที่กักกันรวม 1,181 ราย มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านแล้ว 3,888 ราย เสียชีวิต 60 ราย ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 221 ราย
ส่วนสถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรวม 69.2 ล้านราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6.4 แสนราย เสียชีวิตเพิ่ม 1.2 หมื่นราย รวมผู้เสียชีวิตสะสม 1.57 ล้านราย แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย และฝรั่งเศส ส่วนประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมามีผู้ป่วยรายใหม่ 1,427 ราย มาเลเซียมีผู้ป่วยใหม่ 959 ราย สำหรับการนำคนไทยตกค้างกลับเข้าประเทศ วันที่ 10 ธันวาคมจำนวน 846 ราย วันที่ 11 ธันวาคม 710 ราย จนถึงปัจจุบันมีผู้เดินทางเข้าประเทศ เข้ารับการกักตัวในสถานที่กักกันของรัฐ รวม 172,952 ราย ตรวจพบติดเชื้อ 1,181 ราย

สำหรับกรณีการติดเชื้อในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ขณะนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน และโรงแรมที่ร่วมโครงการ ได้มีการหารือและนำไปเป็นบทเรียน เรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปฏิบัติตามมาตรฐานการป้องกันส่วนบุคคล ทั้งขณะดูแลผู้ป่วยและเมื่อออกจากสถานที่ปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ขอความร่วมมืออย่าแชร์ต่อข่าวลือตามโซเชียลมีเดีย ทั้งคลิปเสียง และข้อความต่าง ๆ ที่ไม่มีแหล่งที่มา เช่น เชิญชวนให้กักตุนหน้ากากอนามัย การกักกันตัว 14 วันในพื้นที่ที่มีการระบาด ขอให้รับฟังข้อมูลจาก ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะแถลงข่าวทุกวัน เวลา 11.30 น. ทั้งนี้ ขอให้ประชาชน “ตื่นตัว อย่าตื่นตูม ตระหนัก อย่าตระหนก” ตื่นตัวและตระหนักในการป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะการใช้หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อให้สถานการณ์กลับมาสู่การควบคุม

กรณีผู้ป่วยโควิด 19 จากจ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา จำนวนผู้ป่วย 46 รายเท่าเดิม แสดงให้เห็นว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ที่สำคัญคือในจำนวนนี้ 27 รายเป็นการนำผู้เดินทางเข้าระบบกักกันโรค ทำให้ตรวจพบในสถานกักกันโรค และไม่เกิดการแพร่กระจายเชื้อ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดได้ดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้น ตรวจตราการลักลอบเข้าเมือง และประสานไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน หากมีคนไทยตกค้างจะนำกลับมาเข้า

นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน

สู่ระบบกักกันโรค โดยที่จังหวัดเชียงรายซึ่งมีผู้อยู่ในสถานกักกันโรคจำนวนมาก วันนี้อาจจะมีรายงานเพิ่มเติมอีก 3 รายในสถานกักกันโรค ทางจังหวัดเชียงรายจะแถลงข่าวต่อไป ถือเป็นเรื่องดีทำให้ควบคุมโรคได้ ส่วนจังหวัดอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ พะเยา กรุงเทพ พิจิตร ราชบุรี สิงห์บุรี เมื่อไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มครบ 14 วันก็จะถือว่าเข้าสู่ภาวะปกติ

ความเสี่ยงของการติดเชื้อขึ้นอยู่กับการสัมผัสใกล้ชิดในสถานที่และเวลาเดียวกันกับผู้ป่วยโดยไม่สวมหน้ากาก ได้แก่ คนในครอบครัว อยู่บ้านเดียวกัน โดยคู่สมรสมีโอกาสติดเชื้อร้อยละ 40 – 50 บุตรร้อยละ 10 – 20, ผู้ที่ยืนพูดคุยกับผู้ป่วยระยะ 1 เมตรเกิน 5 นาที, ถูกผู้ป่วยจามใส่ และผู้ที่อยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวกอากาศ เช่นในรถตู้ หรือห้องที่ปิดทึบเกิน 5 นาที เน้นย้ำมาตรการที่ดีที่สุดที่ประชาชนต้องช่วยกันคือการป้องกันตัวเอง ใส่หน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่สาธารณะให้มากที่สุด สำหรับกรณีผู้ปกครองพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและมีการปิดโรงเรียนนั้น ขอชี้แจงว่า การพบกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงถือว่าไม่มีความเสี่ยง จึงไม่จำเป็นต้องปิดโรงเรียน กรณีที่จะปิดโรงเรียนหรือสถานที่ต่างๆ จะปิดเมื่อพบผู้ติดเชื้อเท่านั้น และปิดเพื่อทำความสะอาดเท่านั้น

สำหรับผู้ติดเชื้อในประเทศรายใหม่ 1 ราย เพศหญิง อายุ 29 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 31 รายในระบบเฝ้าระวังของผู้ป่วยกลุ่มเดิม 5 รายที่รายงานก่อนหน้า โดยการตรวจครั้งแรกวันที่ 5 ธันวาคม 2563 ผลเป็นลบ ตรวจซ้ำครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ตรวจพบเชื้อ มีอาการ ไข้ เจ็บคอ คัดจมูก ปวดกล้ามเนื้อ โดยเป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 6 มีประวัติรับประทานอาหารร่วมกับรายที่ 1 โดยขณะนี้ โรงพยาบาลเอกชนคู่สัญญาปฏิบัติงาน ASQ ดังกล่าว ได้ตรวจเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 851 คน เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ผลออกแล้ว 745 คนเป็นลบทั้งหมด อยู่ระหว่างรอผลตรวจอีก 106 คน สำหรับเพื่อนร่วมหอพัก ผู้ที่อยู่ในห้องสัมภาษณ์งานที่โรงพยาบาล และสมาชิกในครอบครัวรวม 20 คน ผลตรวจไม่พบเชื้อ ส่วนเพื่อนร่วมงานและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดในสถานที่ทำงานสถานกักกันทางเลือกทั้ง 2 แห่ง ตรวจหาเชื้อ 34 คน ผลไม่พบเชื้อเช่นเดียวกัน

จากไทม์ไลน์จะเห็นได้ว่าทั้ง 6 รายอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทำงานในสถานที่เดียวกัน และมีการสังสรรค์กันนอกเวลางาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาจจะไม่ได้มีการป้องกันตัว จึงขอแนะนำผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 ขอให้สังเกตอาการตนเองและระมัดระวังการป้องกันการรับเชื้อและการแพร่เชื้ออยู่ตลอดเวลา ทั้งในเวลางานและนอกเวลางาน ที่สำคัญต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ หากมีอาการป่วยต้องรีบรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อทันที

สำหรับข้อกังวลเรื่องผู้ติดเชื้อมีประวัติเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะนั้น ขอให้อย่าตระหนก เนื่องจากวันที่ผู้ติดเชื้อไปใช้บริการ ยังไม่มีอาการป่วย และสวมหน้ากากตลอดเวลา ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำมาก หากสงสัยว่าอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว สามารถรายงานตัวหรือรับคำปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขใกล้บ้านได้ หรือโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 และขอให้ยังคงสวมหน้ากาก เว้นระยะห่างและล้างมือบ่อยๆ ต่อจนครบ 14 วัน แต่หากมีอาการทางเดินหายใจ ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส สามารถเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้านได้ทันที