ไมโครซอฟท์ Surface Pro 7และ Surface Hub 2S 85 นิ้ว รับกระแสเรียน-ทำงานออนไลน์

6

Surface Pro 7+ ราคาเริ่มต้นที่ 30,900 บาท รองรับการเชื่อมต่อแบบ LTE Advanced เพื่อใช้งานในสถานที่ห่างไกล ส่วน Surface Hub 2S 85 นิ้ว รุ่นล่าสุด อุปกรณ์ที่ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการทำงานร่วมกัน ตอบโจทย์การทำงานยุคดิจิทัลที่พร้อมเปลี่ยนทุกพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่การประชุมเพื่อเชื่อมต่อความคิดได้ทันที โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 927,900 บาท

“Surface เป็นมากกว่าอุปกรณ์ เพราะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนกลยุทธ์สำหรับธุรกิจ เรามุ่งมั่นที่จะออกแบบเทคโนโลยีที่ส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ และการเชื่อมต่อการทำงาน เพื่อนำพาผู้คนไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด ปีที่แล้วเราได้มีการพูดคุยกับลูกค้า พร้อมรับฟังเส้นทางการทำงานของพวกเขาที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างไปสู่การทำงานนอกสถานที่ โดยการพูดคุยที่เกิดขึ้น ควบคู่กับงานวิจัยเชิงลึก ที่จัดทำโดยกลุ่ม Applied Science ช่วยให้เราเข้าใจถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของลูกค้าได้เป็นอย่างดี” นางสาวชนิกานต์ โปรณานันท์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาดและปฏิบัติการ ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าว “และนี่เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการพัฒนา Surface ของเรา เพื่อให้ลูกค้าภาคธุรกิจของเรามั่นใจได้ว่าเราได้รับฟังเสียงของพวกเขา และนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราโดยตรง”

ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์ ยังได้ทำวิจัยพบว่าลูกค้ามีความต้องการ 4 ประการ ดังนี้
1. อนาคตของการทำงานและการเรียนรู้จะเป็นแบบผสมผสานและต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น: มุมมองเกี่ยวกับการทำงานจากที่ไหนก็ได้เปลี่ยนไป โดย 82% ของผู้จัดการกล่าวว่าพวกเขาจะมีนโยบายสำหรับการทำงานที่บ้านที่ยืดหยุ่นขึ้นหลังเกิดโรคระบาด และพนักงาน 71% ต้องการทำงานจากที่บ้านต่ออย่างน้อยเป็นบางเวลา หลายคนแบ่งพื้นที่บางส่วนในบ้านมาเป็นพื้นที่ทำงาน ขณะที่บางคนย้ายไปทำงานตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้

2. การเชื่อมต่อมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจในยุคนี้: การที่คนหลายคนในครัวเรือนมีการเชื่อมต่อจากที่บ้าน ทำให้การใช้งานเครือข่ายนั้นหนาแน่น จึงทำให้คนในบ้านหันมาใช้ hot spot จากโทรศัพท์มือถือบ่อยขึ้นในการประชุม เพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่สามารถรองรับได้ไหว

3. การพูดคุยผ่านกล้อง คือนิยามใหม่ของการเห็นหน้ากัน: ไมโครซอฟท์ได้เรียนรู้จากงานวิจัยว่าตอนนี้ผู้คนรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันมากขึ้น และเมื่อพูดคุยกันผ่านวิดีโอคอลพบว่า พวกเขามีมุมมองที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน ที่เหมือนมีค่ามากขึ้นด้วยซ้ำ รวมถึงรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานทางไกลร่วมกับทุกคนในห้องประชุมเดียวกันอีกด้วย

4. ระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรจากออฟไลน์สู่คลาวด์เพราะต้องให้ความสำคัญมากกว่าเดิม: หลายองค์กรต้องการความมั่นคงและปลอดภัยของข้อมูลและกระบวนการทำงาน เพื่อให้สามารถทำงานระยะไกลและแบบไฮบริดได้ ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้จึงจำเป็นต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนด้านความปลอดภัยเพื่อให้สามารถครอบคลุมดูแลได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ประสิทธิภาพงานตามที่ต้องการ เพื่อรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ

Surface Pro 7+ for Business
Surface Pro เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าระดับองค์กรและภาคการศึกษา สำหรับSurface Pro 7+ รุ่นนี้ มาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ เจนเนอเรชั่นที่ 11 รุ่นล่าสุด มีประสิทธิภาพที่เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 2.1 เท่า มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นสูงสุด 15 ชั่วโมง มาพร้อมกล้องหน้าและกล้องหลัง ที่ให้ความละเอียดของวิดีโอสูงถึง 1080p Full HD ควบคู่กับเสียงที่คมชัดจากลำโพง Dolby® Atmos และไมโครโฟนคู่ Studio Mics ตัวเครื่องที่มีน้ำหนักเบา ด้วยการใช้วัสดุที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 23% และทำจากวัสดุเส้นใยธรรมชาติ 99% โดย 64% เป็นวัสดุที่ผ่านการรีไซเคิลมาแล้ว การพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของไมโครซอฟท์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกของเรา

Surface Hub 2S 85 นิ้ว พร้อมจัดส่งเดือนมีนาคมนี้
Surface Hub 2S 85 นิ้ว ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากการกำหนดค่า Windows 10 Pro และการตั้งค่าองค์กร ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชันที่สำคัญทางธุรกิจทั้งหมดได้ผ่านหน้าจอมัลติทัชระดับ 4K ความละเอียดสูง PixelSense™ Display ขนาด 85 นิ้ว ที่สามารถขีดเขียนได้จริงแบบดิจิทัลบนหน้าจอ นอกจากนี้ยังมีระบบเสียงและวิดีโอที่ได้การรับรองคุณภาพจาก Microsoft Teams รองรับการทำงานที่เหนือไปอีกขั้น พร้อมชุดเซ็นเซอร์ออนบอร์ดอีกด้วย