มั่งคั่งจาก “กัญชา” หุ้นอนาคตไกลจน David Beckham โดดเข้าร่วม

348
David Beckham เครดิตภาพ :www.dmarge.com

ขณะที่ประเทศไทยกำลังปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด เพื่อนำกัญชามาใช้ประโยชน์ในเชิงการแพทย์และการรักษาสุขภาพ ทว่า ประเทศในซีกโลกตะวันตกนั้น กัญชาอยู่กับพวกเขากันมานานแล้ว พวกเขาได้แปรรูปกัญชาเป็นสินค้าจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ต่างๆมากมาย จุดประสงค์ทั้งเพื่อการรักษาในเชิงการแพทย์และในเชิงสันทนาการ

ในเชิงพาณิชย์นั้น ธุรกิจกัญชานั้นได้เติบโตกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่มีมูลค่ามหาศาล ตามข้อมูลของ THCaffilicates.com เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจกัญชาและกัญชงระดับโลก ระบุว่า อุตสาหกรรมกัญชาของโลกที่ถูกกฎหมายจะมีมูลค่าถึง 46.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2568 เป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 21.2% จากปี 2562 ถึงปี 2568 ปัจจุบันเห็นได้ว่า มีผู้ประกอบหลากหลายในตลาด โดยเฉพาะในสหรัฐฯและแคนาดา มีหลายบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน และที่น่าสนใจมากคือ ในปีที่ผ่านมา บริษัทเหล่านี้ก็มีผลประกอบการอย่างโดดเด่น แม้จะเผชิญหน้ากับการระบาดของโควิด-19 ก็ตามที

สำหรับการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการนั้นก็มีให้เห็นไม่เพียงอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่าย แต่ยังในรูปแบบอื่นๆอีกด้วย หากใครได้ไปท่องเที่ยวที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์แล้ว ก็จะพบเห็นคอฟฟี่ช็อปกัญชาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซ่อนตัวอยู่ในตัวตึกอย่างมากมาย มีสินค้าให้เลือกซื้อและสามารถมีความสุขกับนั่งอัดควันอยู่ที่ร้าน แต่กฎเหล็กของที่นี่คือ คุณต้องมีอายุมากกว่า 18 ปี ถึงจะเข้าไปได้ อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของ CNN Travel เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา รายงานว่า ปัจจุบันคอฟฟี่ช็อปกัญชามีราว 166 แห่งในเมืองหลวงแห่งนี้ กลายเป็นประเด็นได้รับความสนใจและมีการถกเถียงกันว่า จะห้ามให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าใช้บริการ หรือจะเปิดบริการให้แค่คนท้องถิ่นเท่านั้น

วันนี้ The Balance อยากชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักบริษัทกัญชายักษ์ใหญ่ที่ในโลก (วัดจากรายได้) ที่ชื่อ Curaleaf Holdings บริษัทสัญชาติอเมริกัน ตั้งอยู่ในรัฐ Massachusetts แต่ไปจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศแคนาดา โดยมีมหาเศรษฐีที่ชื่อ Boris Jordan ซึ่งเขามีทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือหุ้นในบริษัทแห่งนี้อยู่ในบริษัทราว 30% (ข้อมูลปี 2563)

Forbes ออนไลน์รายงานว่า Jordan ได้เข้าซื้อกิจการของ Curaleaf ในปี 2556 ผ่านบริษัทไพรเวท อิควิตี้ ของเขา จากนั้นก็นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศแคนาดาปี 2561 เขามอง Curaleaf เป็นบริษัทผลิตสินค้าอุปบริโภคบริษัทหนึ่ง และย้ำว่า “พวกเรามุ่งผลิตสินค้า (กัญชา) ให้เป็นสินค้ากระแสหลักมากๆยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับฐานลูกค้าของพวกเรา พวกเราไม่ต่างจาก Coca Cola หรือ Frito-Lay”

ปัจจุบัน Curaleaf เติบโตขึ้นตามลำดับ ล่าสุด ตัวเลขรายได้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ทะยานขึ้น 195% เป็น 182.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 ขณะที่ผลกำไรก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ บริษัทมีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 10.53 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาหุ้นอยู่ที่ 15.90 เหรียญสหรัฐฯ (ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564) โดยหุ้นของบริษัทได้เติบโตถึง 137% ในปี 2563 ดีกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆในตลาดฯ

สำหรับอนาคตนั้นยังมีแนวโน้มสดใส เนื่องจาก Curaleaf ได้รับอานิสงค์จากการเติบโตของตลาดกัญชาในเชิงการแพทย์ที่เพิ่มมากขึ้นของสหรัฐฯ ตามแรงขับเคลื่อนของการค่อยๆเปิดเสรีของการใช้กัญชาหลังมีการแก้ไขกฎหมายในแต่ละรัฐ เห็นได้ว่า หลายรัฐได้มีการออกกฎหมายเพื่อรองรับการใช้กัญชาสำหรับผู้ใหญ่ ดังนั้น คาดว่าตลาดกัญชาสำหรับผู้ใหญ่ที่ผิดกฎหมายอยู่เดิมที่มีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ จะพลิกกลับมาอยู่บนดินอย่างถูกกฎหมาย รวมไปถึงการเข้ามาเป็นบริหารของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่จากพรรค Democrat ที่พรรคของเขาค่อนข้างจะสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากการใช้กัญชา ดังนั้น เชื่อว่า Curaleaf น่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้เต็มๆ เนื่องจากมีความพร้อมด้านต่างๆอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีร้านขายยาเครือข่ายที่จำหน่ายกัญชาของตนเอง 96 แห่งกระจายอยู่ในเมืองต่างๆ หรือไร่ที่ปลูกกัญชาอยู่ 23 แห่ง นอกจากนี้ ยังได้มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเพิ่ม เพื่อรองรับกับการขยายของตลาด

ผลที่ตามมาในปี 2565 คาดว่า Curaleaf จะเป็นบริษัทกัญชาที่สามารถทำกำไรได้สูงสุดเมื่อเทียบกับบริษัทกัญชาอื่นๆ และยังส่งผลให้หุ้นของ Curaleaf เป็นบริษัทหนึ่งที่น่าลงทุนอีกด้วย

 Beckham กระโดดเข้าร่วม

ข้ามมาฝั่งสหราชอาณาจักรกันบ้าง อุตสาหกรรมกัญชาก็ได้เริ่มก่อร่างสร้างตัวเช่นกัน ล่าสุดไม่น่านมานี้ สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนักรายงานว่า Cellular Goods บริษัทที่มุ่งเน้นผลิตสินค้าสกินแคร์และสินค้าที่เกี่ยวกับการกีฬาที่มีส่วนผสมของกัญชา จะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน  (London Stock Exchange: LSE) และคาดว่า จะเป็นบริษัทกัญชาแห่งแรกที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้

การเข้าระดุมในตลาดฯครั้งนี้ Cellular Goods ได้ขายหุ้นบางส่วนให้กับ DB Ventures ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนของ David Beckham โดย Cellular Goods มีแผนว่า จะออกสินค้าจำหน่ายในเดือนกันยายนปีนี้ โดยมุ่งเน้นจำหน่ายสินค้าที่เกิดจากการพัฒนาคิดค้นมากกว่าจำหน่ายกัญชาที่เป็นพืช

ในสหราชอาณาจักร บริษัทกัญชาสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นใน LSE ได้ ตราบใดที่บริษัทนั้นดำเนินธุรกิจกัญชาเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ ซึ่งต่างจากสหรัฐฯ ที่เปิดโอกาสให้บริษัทกัญชาต่างๆสามารถผลิตกัญชาเพื่อใช้ในสันทนาการได้ ดังนั้น หากบริษัทกัญชาที่ผลิตสินค้าเพื่อสันทนาการต้องการจะมาระดมทุนที่ตลาด LSE ก็ไม่สามารถทำได้เพราะผิดกฎหมายของประเทศ

References:

  1. https://investorplace.com/2021/01/7-best-marijuana-stocks-on-the-market-today/?mod=mw_quote_news
  2. https://investorplace.com/2021/01/the-top-7-marijuana-stocks-to-buy-for-january/?mod=mw_quote_news
  3. https://www.businessleader.co.uk/david-beckham-backed-cellular-goods-to-sell-shares-on-lse/109498/
  4. https://thcaffiliates.com/cannabis-stats/
  5. https://edition.cnn.com/travel/article/amsterdam-cannabis-coffee-shops-restrictions/index.html
  6. https://www.bbc.com/news/business-55903814
  7. https://www.forbes.com/sites/willyakowicz/2020/11/27/inside-curaleaf-billionaire-boris-jordans-hunger-to-become-the-frito-lay-of-cannabis/?sh=770315222196