IHG Hotels & Resorts อยู่ในระหว่างการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก และกำลังมุ่งหน้าสู่อนาคตการเติบโตอย่างยั่งยืนในประเทศไทย
“ปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 2564 นับเป็นช่วงเวลาที่แสนท้าทายสำหรับทุกคนในอุตสาหกรรมโรงแรม” ราจิต สุขุมารัน กรรมการบริหาร ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี กล่าว
“ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงที่สุดเท่าที่เราเคยเผชิญมา โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติเป็นหลักอย่างประเทศไทย”
“เราคาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยปลายปีนี้หรือต้นปี 2565 ที่เราจะได้เห็นพัฒนาการฟื้นฟูที่เห็นได้ชัด หากแต่เรามีความมั่นใจในแผนฟื้นฟูธุรกิจของเราในช่วงที่ผ่านมา โดยเราทำงานอย่างไม่ลดละในการให้ความสำคัญด้านสุขภาพและความปลอดภัยของแขกและพนักงานของเราเป็นอันดับแรก เรารู้สึกยินดีที่ได้เห็นประเทศไทยเริ่มมีการผ่อนปรนมาตรการจำกัดการเดินทางอย่างต่อเนื่องรวมถึงทดลองแนวทางอื่นๆ เพื่อเปิดประเทศ”
ปีนี้ IHG มีการปรับกลยุทธ์ใหม่ในการเตรียมพร้อมสู่การเติบโตด้วยการปรับโฉมแบรนด์เพื่อเน้นย้ำแนวคิด True Hospitality for Good และมุ่งขยายขนาดธุรกิจ รวมถึงเสริมความเชี่ยวชาญและพัฒนาระบบ เพื่อขยายทั้ง 16 แบรนด์ในเครือ IHG ในตลาดและประเทศที่มีศักยภาพ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
คุณราจิต กล่าวเสริม “เรามุ่งมั่นกับการสร้างแบรนด์ให้ได้รับความไว้วางใจและเข้าไปอยู่ในใจลูกค้า โดยเราตระหนักถึงความต้องการของแขกและเจ้าของโรงแรมและมุ่งตอบโจทย์ลูกค้ารวมถึงสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้เจ้าของโรงแรม รวมถึงเชื่อมทุกประสบการณ์ของแขกที่เข้าพักได้อย่างไร้รอยต่อด้วยเทคโนโลยี รวมถึงดูแลพนักงาน ชุมชน และโลกของเรา นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในแผนการเติบโตด้านธุรกิจแล้ว เรายังคงให้ความสำคัญกับแนวทางสู่การเติบโตของเราเช่นกัน
IHG ยังคงให้บริการธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงการแพร่ะระบาด และยังสามารถสร้างรายได้จากการเปลี่ยนไปเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศแทน – กลุ่มนักท่องเที่ยวแบบครอบครัวที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลือกที่จะพักผ่อนเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ทำให้โรงแรมสไตล์รีสอร์ทของเราเป็นที่นิยมมากขึ้น อาทิ หัวหิน พัทยา และ ภูเก็ต
คุณราจิต กล่าวว่า “เราไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจ แต่แนวทางสู่การเติบโตก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราเช่นกัน โดยเราได้เปิดตัวแผนในการเดินทางสู่การเป็นธุรกิจที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมใน 10 ปีข้างหน้าภายใต้โครงการ Journey to Tomorrow ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแผนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations)”
“โดยเราให้ความสำคัญใน 5 ส่วน ได้แก่ น้ำ ขยะ คาร์บอนและพลังงาน รวมถึงพนักงานและชุมชนในพื้นที่ที่เราดำเนินกิจการ เราตั้งใจเดินเคียงข้างไปพร้อมๆกับแขกที่เข้าพัก พนักงานและพาร์ทเนอร์ของเราทุกคน เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ทุกคนท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งในประเทศไทยและทั่วทั้งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวและทัศนียภาพสวยงามซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว ทำให้ประเทศไทยถือเป็นส่วนสำคัญในแผนการเติบโตของ IHG
“เราต้องการเพิ่มจำนวนโรงแรมในประเทศไทยเป็นสองเท่าใน 3-5 ปีข้างหน้า” เซเรน่า ลิม รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (ไอเอชจี) ภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี กล่าว
“โดยที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เราเปิดตัวแบรนด์ใหม่ อาทิ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส และ โรงแรม อินดิโก้ กรุงเทพฯ และในปีที่ผ่านมาที่เราได้เปิดตัว สเตย์บริดจ์สวีทส์ และ คิมป์ตัน
“เรามุ่งขยายแบรนด์ในกลุ่มลักซูรี่และไลฟ์สไตล์เพิ่มอีก 50% ด้วยโครงการสุดหรูใหม่ 3 แห่งภายใต้แบรนด์อินเตอร์คอนติเนนตัลในอีก 2 ปีข้างหน้า ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทองหล่อในกรุงเทพฯ และ เชียงใหม่”
แบรนด์ของเรามีโอกาสอีกมากมายที่จะสามารถเติบโตในประเทศไทย อาทิ ศักยภาพในการขยายโรงแรมคราวน์ พลาซ่าในพื้นที่ที่มีการเติบโตด้านธุรกิจ รวมถึงพื้นที่อื่นๆของประเทศไทย นอกจากนี้เรายังมีแผนขยาย สเตย์บริดจ์ สวีทส์ โรงแรมสำหรับการพักระยะยาว และเรามีแผนที่จะเปิดโรงแรมภายใต้แบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ ในเมืองท่องเที่ยวและเมืองใหญ่ทั่วประเทศไทยอีกด้วย
“จากความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยาวนานระหว่าง IHG กับพาร์ทเนอร์ในประเทศไทย แบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์กำลังเดินหน้าสู่การเติบโตอีกขั้น จากการผสมผสานองค์ประกอบที่ลงตัว ไม่ว่าจะเป็น พาร์ทเนอร์ที่ไว้วางใจ การเลือกทำเลที่ดี และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง”
คุณราจิต กล่าวเสริมถึงปีที่ผ่านมาทำให้ IHG ยิ่งเห็นถึงความสัมพันธ์ที่มีค่าระหว่าง IHG และเจ้าของโรงแรมในประเทศไทย จากการที่ได้ร่วมงานกับเจ้าของโรงแรมอย่างใกล้ชิดเพื่อร่วมกันหาแนวทางก้าวข้ามวิกฤตที่เกิดขึ้น โดยคุณราจิต กล่าวว่า “เรามีสำนักงานในประเทศไทยและทีมงานประจำประเทศที่ทำงานร่วมกับเจ้าของโรงแรมอย่างใกล้ชิด และมีมุมมองธุรกิจเช่นเดียวกับเจ้าของโรงแรมซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อทั้งเจ้าของโรงแรมและIHG”
นอกจากนี้ IHG ยังมั่นใจว่าอุตสาหกรรมโรงแรมในอนาคตจะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องเช่นเดียวกับก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
“ปัจจัยที่เป็นตัวส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก่อนเกิดการแพร่ระบาดนั้นยังคงอยู่และภาพการท่องเที่ยวในอนาคตจะกลับไปในทิศทางที่เคยเป็นมาและจะไม่เปลี่ยนแปลงไป” คุณราจิต กล่าว “ก่อนหน้าปี 2564 อัตราการเติบโตอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโตแซงหน้าเศรษฐกิจทั่วโลกมานานกว่า 10 ปี และรายได้ของธุรกิจโรงแรม (RevPAR) รวมถึงส่วนแบ่งด้านการตลาดของ IHG ยังคงเติบโตอย่างมีสเถียรภาพในช่วงเวลาดังกล่าว นับเป็นสัญญาณที่ดีในอนาคตแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดเกิดขึ้นในระยะหนึ่งก็ตาม”