สถิติระลอกสามแรงงานข้ามชาติติดเชื้อแล้ว ทะลุ 1.5 หมื่นราย เผยเหตุนโยบาลรัฐทำแรงงานหลุดออกนอกระบบ พร้อมเปิดปม 4 อ. ไม่มีอาหารเพียงพอในช่วงกักตัว ไม่มีที่พักอาศัยเนื่องจากขาดรายได้ ไม่มีอาชีพหรืองานที่จะพอทำให้เกิดรายได้ และไม่ได้รับการรักษาเมื่อมีอาการป่วยทำให้แรงงานได้รับผลกระทบจากโควิด
เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group) จัดเวทีสนทนาผ่านคลับเฮ้าส์ ในหัวข้อ “ทำไมแรงงานข้ามชาติติดโควิดเยอะ???” ปัญหาและทางออกที่รัฐไทยควรเร่งดำเนินการ โดยมีผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย อดิศร เกิดมงคล โรยทราย วงศ์สุบรรณ และ คอรีเยาะ มานุแช
อดิศร กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในแรงงานข้ามชาติ ว่า การแพร่ระบาดในระลอกสาม จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคและศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐพบว่ามีแรงงานข้ามชาติกว่า 1.5 หมื่นรายที่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนตัวรู้สึกเป็นกังวล โดยเฉพาะการระบาดที่พบว่าในระลอกสามนี้ มีการกระจายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่กทม. และ ปริมณฑลซึ่งในพื้นที่เหล่านี้มีจำนวนแรงงานข้ามชาติอยู่เกือบครึ่งของจำนวนแรงงานข้ามชาติทั้งหมดในประเทศ หรือประมาณ 1.1 ล้านคน
ปัญหาแรงงานข้ามชาติสะสมมาตั้งแต่การแพร่ระบาดในระลอกแรก ที่มีการปิดสถานประกอบการ และเกิดปัญหาของข้อกฎหมายเพราะเมื่อเปลี่ยนนายจ้าง ลูกจ้างที่เป็นแรงงานข้ามชาติจะต้องหานายจ้างใหม่ใน 30 วัน แต่ในความเป็นจริงแทบทำไม่ได้เลย เพราะสถานประกอบการปิดหมด ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงาน ทำให้มีแรงงานหลุดออกจากระบบ ดังนั้นอาจพูดได้ว่านโยบายของรัฐ ทำให้มีแรงงานผิดกฎหมายมากขึ้นไป แม้ว่าต่อมามีความพยายามแก้ไข โดยการขยายระยะเวลาแต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง
หลังจากการแพร่ระบาดระลอกแรกเริ่มมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น จึงมีการเสนอให้ทยอยนำเข้าแรงงานเป็นระบบ มีการตรวจคัดกรอง มีเรื่องการกักตัว แต่จนถึงขณะนี้ไปปีกว่ายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เมื่อมาเจอกับระลอกสอง ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า การแพร่ระบาดในระลอกสองมาจากไหนกันแน่ แต่เป็นข้อสังเกตุของกระทรวงสาธารณสุขว่ามาจากแรงงานข้ามชาติ อย่างไรก็ตามมีคำถามว่า แรงงานเหล่านี้ได้รับสิทธิในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขหรือไม่ เพราะมีแรงงานข้ามชาติที่อาจจะไม่มีหลักประกันทางสุขภาพอะไรเลย ทั้งประกันสังคม และประกันสุขภาพ ประมาณ 34% ของแรงงานทั้งหมด ส่วนในระลอกสามนั้นปัจจุบัน คาดว่ามีแรงานข้ามชาติที่หลุดจากระบบเกือบ 1 ล้านคน จากทั้งหมด 2 ล้านคน ดังนั้นหากรัฐบาลยังไม่สามารถดึงเข้าสู่ระบบได้ แรงงานยังกลัวว่าจะถูกจับ หลบหนีไปเรื่อยๆ อาจทำให้ตัวเลขแรงงานติดเชื้อในระลอกนี้อาจจะมากกว่าระลอกสองที่จ.สมุทรสาครเป็นเท่าตัว
นอกจากนั้นแล้วยังพบว่าแรงงานข้ามชาติที่เป็นผู้ป่วยโควิด 19, ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง รวมถึงแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดสูงในระลอกที่ 3 ยังประสบปัญหาหลักพื้นฐานที่เรียกว่าปัญหา 4 อ. นั่นคือ ไม่มีอาหารเพียงพอในช่วงกักตัว ไม่มีที่พักอาศัยเนื่องจากขาดรายได้ หรือบางแห่งให้แรงงานข้ามชาติออกจากหอพัก ไม่มีอาชีพหรืองานที่จะพอทำให้เกิดรายได้ช่วงกักตัวหรือรักษาตัวเนื่องจากแรงงานส่วนหนึ่งเป็นแรงงานรายได้ หรือไม่มีความมั่นคงในการจ้างงานระหว่างและหลังการรักษาตัวแล้ว และไม่ได้รับการรักษา เมื่อมีอาการป่วย
“ยังมีปัญหาในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลการสื่อสารซึ่งแรงงานข้ามชาติยังไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเข้าใจง่ายรวมถึงมีช่องทางในการสื่อสารปัญหาและความต้องการของตนเอง ปัญหาเรื่องการถูกตีตราว่าเป็นสาเหตุของการระบาดที่พบมากขึ้นในช่วงหลัง การเข้าไม่ถึงการตรวจคัดกรองโรค การส่งต่อดูแล รักษาเมื่อติดเชื้อโควิด 19 และประเด็นสุดท้ายคือความรู้สึกไม่ปลอดภัยเนื่องจากปัญหาในเรื่องเอกสารและมาตรการการจับกุมของเจ้าหน้าที่ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจจะส่งผลให้แรงงานข้ามชาติไม่กล้าปรากฏตัว เคลื่อนย้ายไปหางานในพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงในการระบาดของโรคโควิดเพิ่มมากขึ้นด้วย” อดิศร กล่าว
สอดรับกับโรยทราย ที่ระบุว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 63 หลังเกิดระลอกแรก มีแรงงานข้ามชาติตัดสินใจกลับประเทศ บางส่วนอยู่ในไทยแต่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุ ลูกจ้างถูกนายจ้างเอาชื่อออกจากระบบ เลยกลายเป็นคนที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุไม่รู้ตัว ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลจะหมกมุ่นกับคำว่าผิดกฎหมาย ทั้งที่คนที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในเมืองไทย คือ คนที่อยู่ในเมืองไทยอยู่แล้ว เข้ามาอย่างถูกกฎหมาย แต่เอกสารหมดอายุ
จากประสบการณ์ลงพื้นที่จ.สมุทรสาคร พบว่าแรงงานส่วนใหญ่ ทำงานตลาดกุ้ง และโรงงานอาหารทะเลแปรรูปที่มีความชื้นเย็น ห้องพักหนึ่งห้องเช่าอยู่กัน 2 ครอบครัว ในลักษณะผลัดกันนอน ทำงานกะเช้า กะกลางคืน ทำให้ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ มีความแออัด รวมถึงเรื่องสุขอนามัยบางอย่าง นอกจากนี้ยังพบว่าแรงงานเวลาเจ็บป่วย มักจะไม่กล้าบอกหัวหน้างานทำให้คนเจ็บป่วยไม่ได้รักษาอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่เห็นทิศทางหรือนโยบายที่แน่ชัดจากรัฐบาลว่าจะฉีดวัตคซีนให้กับแรงงานข้ามชาติด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ยังพบว่าแรงงานที่ติดเชื้อถูกทอดทิ้ง ทำให้แรงงานรู้สึกว่าถ้าตรวจแล้วติด เขาก็ไม่มีที่รักษา ซึ่งประเด็นนี้อยากให้เทียบกับคนต่างชาติ ชาติอื่น ที่รัฐรักษาฟรี แต่ในขณะที่แรงงานข้ามชาติยังถูกรพ.มาเรียกเก็บเงินค่ารักษาอีกแม้รัฐบาลจะให้การรักษาฟรี แต่ยังมีความเข้าใจผิดของสถานพยาบาล เวลาป่วยจึงไม่กล้าบอกใคร อย่างไรก็ตามเห็นว่าการลุยตรวจเชื้อเชิงรุก เป็นสิ่งที่สมุทรสาครทำได้และประสบความสำเร็จในการคุมโรค ซึ่งยากเห็นต่อไป
“ทราบว่าในแรงงานข้ามชาติบางส่วนยังมีความคิดเห็นที่ต่างกันว่าจะรับวัคซีนหรือไม่ บางคนอยาก บางคนไม่อยากและวันนี้ยังไม่เห็นชุดข้อมูลประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์ในการฉีดวัคซีนในภาษาของแรงงานข้ามชาติแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีแรงงานบางส่วนมีความเชื่อเกี่ยวกับโควิด ที่ผิดๆเช่น มีการแขวนหอม กระเทียม หรือทำพิธีทางไสยศาสตร์บางอย่างและเชื่อว่าจะทำให้ไม่ติดเชื้อ ดังนั้นต้องถามว่าอสม.ที่ดูแลแรงงานข้ามชาติมีเพียงพอหรือไม่ที่จะช่วยเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับแรงงาน” โรยทรายกล่าว
ส่วนข้อเสนอแนะนั้น นางสาวโรยทราย เห็นว่า กลไกแรงงานสัมพันธ์ เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เพราะสามารถเปิดรับฟังปัญหาและความต้องหาของแรงงานได้ ดีว่ามอบหน้าที่ความรับผิดชอบไว้ที่ล่ามแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างแรงงานและนายจ้างได้ นอกจากนี้ที่ยังมีการดูแลเรื่องสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน เช่น บ้านพักที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะก็เป็นสิ่งจำเป็น พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้นายจ้าง ไปขึ้นทะเบียนขอรับวัคซีนให้กับลูกจ้างที่เป็นแรงงานข้ามชาติตามระบบประกันสังคมเพื่อให้เข้าถึงสิทธิในการรับวัคซีน นอกจากนี้นายจ้างควรสะท้อนปัญหาที่เผชิญอยู่กับกระทรวงแรงงานให้รับทราบและขอให้ทางรัฐบาลดูแล เพราะถ้าไม่ดูแลแรงงานข้ามชาติ ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือนายจ้างเอง
“จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นมีท่าทีจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต่อการให้ความสำคัญในการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติสักเท่าไหร่ เพราะนโยบายยังอยู่แค่ว่าจับกุมคนเข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย และรอฟังคำสั่งจากพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ ซึ่งส่วนตัวกังวลเพราะครั้งนี้ มีหลายวิกฤตเข้ามา ทั้งการเมืองเมียนมา โควิด และเศรษฐกิจ ถ้าดำเนินการแบบนี้ต่อไปสุดท้ายผลร้ายก็จะอยู่ที่ตัวคนไทย และเศรษฐกิจไทยเองด้วย”
ด้านคอรีเยาะ มานุแช กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุกันว่าการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็สาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า เป็นการสื่อสารอย่างคลาดเคลื่อน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคมในการมองแรงงานข้ามชาติว่าเป็นกลุ่มคนที่นำพาเชื้อโรคเข้ามา ซึ่งการเข้าเมืองผิด หรือ ถูกกฎหมาย ไม่ได้แปลว่านำพาโรคมา ดังนั้นอยากให้โฟกัสในเรื่องการควบคุมโรค หรือมาตรการให้คนเข้าถึงการตรวจเชื้อมากกว่า เพราะในปัจจุบันมีคำสั่งของกระทรวงแรงงานที่เข้มงวดจับกุมแรงงานข้ามชาติลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งเหตุนี้อาจกลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ไม่รู้ตัว เพราะเมื่อแรงงานรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าแสดงตัว ในการขอเข้าตรวจหาเชื้อเพราะกลัวถูกจับ ก็อาจจะทำให้การควบคุมโรคไม่สามารถเป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็นได้
“การสื่อสารของรัฐที่ผ่านมา จะบอกตัวเลขสถิติ เช่น คนไทยเป็นศูนย์แล้ว แต่แรงงานข้ามชาติยังติดอยู่ เป็นการสื่อสารที่พุ่งไปที่แรงงานข้ามชาติติดเชื้อ จริงๆคนเหล่านี้อาจอยู่ในการควบคุมของตม. อยู่ในสถานที่กักตัว ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ตอกย้ำว่าแรงานข้ามชาติ กลายเป็นคนแพร่เชื้อในประเทศไทย นอกจากนี้อยากให้เข้าถึงกลไกเยียวยาของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้มีมากขึ้น และทางหน่วยงานต้องให้ความดูแล คุ้มครองโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ หรือ สถานะของบุคคล”คอรีเยาะระบุ
ในเวทีพูดคุยยังมีการเสนอความคิดเห็นจากผู้เข้าฟัง โดยนายแจ็ค ล่ามชาวเมียนมา ได้เล่าประสบการณ์จริงที่เคยพบมา ว่า ได้โทรประสานประสานสายด่วนตามหน่วยงานรัฐให้ไว้ให้มารับแรงงานข้ามชาติที่ป่วยโควิด แต่ถูกหน่วยงานทางสาธารณสุขปฏิเสธในการมารับตัว นอกจากนี้เห็นว่าปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เมียนมามี 135 ชาติพันธุ์ แต่รัฐบาลไม่เคยทำเอกสารในภาษาที่หลากหลายเพื่อให้แรงงานเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้การสื่อสารกับแรงงานโดยตรงเป็นไปด้วยความลำบาก จนขณะนี้มีการพูดกันปากต่อปาก ว่าที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยให้ความสนใจแรงงาน แต่มาครั้งนี้จะเอาวัคซีนมาฉีดให้พวกเขา ทำให้พวกเขาคิดว่า จะถูกใช้เป็นหนูทดลองยาหรือไม่ นี่คือปัญหาการสื่อสารที่นำไปสู่ความเข้าใจผิด