LPN รุกเปิดตัว 2 โครงการใหม่ไตรมาส 2 ทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านระดับ Premium มูลค่า 5,500 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “Balance is More” คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ฉลาดเลือก และ “Simply Luxury” บ้านอยู่อาศัยที่มีความเรียบหรู สง่างาม เป็นส่วนตัว เชื่อกระตุ้นยอดขายในไตรมาสสองของปี 2564 ทะลุ 3,000 ล้านบาท
โอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า LPN ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จะยังคงมีอยู่ โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ใน 2 ทำเล ย่านจรัญสนิทวงศ์-สามแยกไฟฉาย และแจ้งวัฒนะ ในไตรมาสสองของปี 2564 มูลค่าโครงการรวม 5,500 ล้านบาท
โครงการแรกที่เปิดตัวเป็นโครงการคอนโดมิเนียม “ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย” มูลค่า 3,000 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 3 อาคาร บนทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพในย่านฝั่งธนบุรี ที่สามารถเดินทางเข้า-ออกสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบายทั้งทางรถยนต์และรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีจรัญ 13 และสถานีไฟฉาย ออกแบบภายใต้แนวคิด “Balance is More : การใช้ชีวิตที่มากกว่า” อย่าง “พอดี” กับการอยู่อาศัยในทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต ราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ห้องละ 1.5 ล้านบาท โดยเปิดตัวในเฟสแรก มูลค่า 960 ล้านบาท
“ ทำเล จรัญฯ-ไฟฉาย เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีศักยภาพของฝั่งธน เดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก เป็นทำเลที่ยังมีความต้องการของตลาด จากผลการสำรวจพบว่า ทำเล “จรัญสนิทวงศ์” มีจำนวนอาคารชุดเหลือขายเพียง 965 หน่วย มีอัตราการขายเฉลี่ย 5% ต่อเดือน โดยมีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 89,700 บาทต่อตารางเมตร โดยในปี 2563 คอนโดมิเนียมในย่านจรัญฯ มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (capital gain) จากการซื้อมาและขายออกไปเฉลี่ยอยู่ที่ ที่ 8% ต่อปี ในขณะที่ผู้บริโภคในทำเลนี้มีกำลังซื้อสูง ทำให้ LPN ตัดสินใจเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลนี้ ในระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable Price) พร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบทุกโจทย์ความต้องการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถมีโอกาสมีบ้านเป็นของตัวเองได้ง่ายขึ้น” โอภาส กล่าว
“ลุมพีนี วิลล์ จรัญ-ไฟฉาย” ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด เพื่อชีวิตที่ “พอดี” อย่างเช่นห้องสตูดิโอที่มีขนาด 25 ตารางเมตร มากกว่าห้องสตูดิโอมาตรฐาน (24 ตร.ม.) ที่สามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งพื้นที่ทำงาน และพักผ่อน (Working & Relaxing Space) และห้องขนาด 1 ห้องนอน ถูกออกแบบให้รองรับกับการใช้ชีวิตที่บ้านที่มากขึ้นทั้งการทำงาน และการพักผ่อน (Work & Life Balance) พร้อมกับออกแบบหน้าต่างให้มีขนาดที่กว้างขึ้นเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ เพิ่มความโปร่งโล่ง ให้ได้รับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในอาคาร
การออกแบบโครงการคำนึงถึงรูปแบบการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายผ่านการออกแบบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในแบบ “Passive Design” ให้แต่ละอาคารมีโครงสร้างเป็น “L-Shape” และออกแบบภูมิสถาปัตย์ฯ ให้แต่ละอาคารไม่ทับซ้อนกัน เพื่อเปิดมุมมองให้ห้องพักทุกห้องสามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอกอาคารได้ทุกห้อง และทำให้เกิดทิศทางลมระหว่างอาคาร ช่วยประหยัดการใช้พลังงานในอาคารอีกด้วย
นอกจากนี้ ตัวโครงการยังถูกออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวภายใต้แนวคิดของ “Playground” ขนาดใหญ่ ให้สามารถใช้งานได้จริงโดยแบ่งพื้นที่เป็น สวนสำหรับการออกกำลังกาย สวนพักผ่อน สวนผักและผลไม้แบบ Organic เพื่อส่งเสริมกิจกรรมและอาหารเพื่อสุขภาพ สวนที่อยู่เหนือชั้นอาคารจอดรถที่ช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และติดตั้ง Solar Cell เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนสำหรับระบบไฟฟ้าในพื้นที่สวนของโครงการ เป็นส่วนที่ “มากกว่า” อย่าง “พอดี” สำหรับทุกคนในแต่ละมุมของโครงการ
และปลายเดือนมิถุนายน 2564 LPN มีแผนเปิดตัวโครงการ “บ้าน 365 เมืองทอง” มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ที่ระดับราคาเริ่มต้นที่ 9-19 ล้านบาท “บ้าน 365 เมืองทอง” เป็นบ้านในระดับ Premium บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองทองธานี ติดทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่ออกแบบภายใต้แนวคิดหลัก “Simple Luxury” เรียบหรู สง่างาม เป็นส่วนตัว ผสมผสานการออกแบบของสถาปัตยกกรรมสไตล์ Modern บนการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์ทุก Lifestyle การใช้ชีวิต ใน Concept “A Place of My Crafted Life” ประกอบด้วย ทาวน์โฮมสูง 3 ชั้น บ้านแฝดสูง 3 ชั้น และโฮมออฟฟิศ สูง 4 ชั้น รวมทั้งสิ้น 190 หลัง
“ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 จะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยมาตรการการดูแลผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Healthy) ลดการสัมผัส (Touchless) และการเว้นระยะห่าง(Social Distancing) โดยการนัดหมายล่วงหน้า รวมถึงการเยี่ยมชมโครงการโดยใช้ Virtual Visit ที่ลูกค้าสามารถขอชมห้องตัวอย่างออนไลน์เพื่อการตัดสินใจเบื้องต้นได้ ทำให้บริษัทมีความมั่นใจเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสสองของปี โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างยอดขายไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ในไตรมาสสองของปี 2564 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายยอดขาย 10,000 ล้านบาทในปี 2564 นี้ และในช่วงไตรมาสสามของปี 2564 เรามีแผนที่จะเปิดโครงการบ้านพักอาศัยอย่างต่อเนื่องในอีกหลายทำเล อาทิ ลาดพร้าว 101 และ บางบัวทอง เพื่อตอบโจทย์ความ ต้องการของผู้บริโภค” โอภาส กล่าว