โอสถสภา ฝ่าปัจจัยลบเติบโตกว่าตลาด เผยยอดขาย 9 เดือนแรก 19,810 ล้านบาท

7
วรรณิภา ภักดีบุตร

บมจ.โอสถสภา (OSP) เผยผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ทำยอดขาย 19,810 ล้านบาท รักษาความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มภายในประเทศ ส่วนตลาดต่างประเทศและกลุ่มธุรกิจ OEM ขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่องและมีกำไรสุทธิ 2,404 ล้านบาท หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2,656 ล้านบาท พร้อมประเมินผลงานโค้งสุดท้ายปีนี้ฟื้นตัวแรง หลังปัจจัยลบคลี่คลายและภาครัฐเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวหนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภค

วรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปีนี้ (มกราคม-กันยายน) ทำรายได้จากการขาย 19,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้มีปัจจัยลบจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อบรรยากาศและกำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลง โดยเติบโตจากธุรกิจเครื่องดื่มในตลาดต่างประเทศที่มีอัตราการขยายตัว 31.2% และโอสถสภายังคงความเป็นผู้นำตลาดในประเทศของเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ด้วยส่วนแบ่งตลาดรวม 54.5% จากความแข็งแกร่งของแบรนด์อันดับ 1 อย่างเอ็ม-150 เช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ โอสถสภามีส่วนแบ่งตลาด 39.8% ผลักดันโดยแบรนด์อันดับ 1 อย่าง ซีวิท ซึ่งทำส่วนแบ่งตลาดนิวไฮในไตรมาส 3 จากศักยภาพการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง

แม้ในช่วงไตรมาส 3/2564 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทฯ ต้องเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์ของโควิด-19 ที่รุนแรง ส่งผลต่อการกระจายสินค้าไปยังช่องทางจำหน่าย แต่การนำแนวคิดบริหารงานที่เน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัวรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมการมีเครือข่ายกระจายสินค้าที่มีความแข็งแกร่ง ทำให้มีสินค้าจำหน่ายในตลาดอย่างต่อเนื่องและสามารถช่วยเหลือพันธมิตรคู่ค้าในการกระจายสินค้า สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค เป็นผลให้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทำยอดขายได้ 6,121 ล้านบาท ขณะเดียวกัน เครือข่ายกระจายสินค้าที่มีความแข็งแกร่งยังช่วยผลักดันให้เครื่องดื่มวิตามินของกลุ่มยันฮี ที่โอสถสภาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายกลับมาครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจ OEM ซึ่งรวมถึงการผลิตขวดแก้วให้แก่คู่ค้าในต่างประเทศนั้น มีอัตราเติบโตมากกว่า 50%

บริษัทฯ ยังคงใช้การบริหารจัดการต้นทุนภายใต้โครงการ Fit Fast Firm อย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 บริษัทฯ เผชิญต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน เป็นผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวทำได้ 580 ล้านบาท และกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนทำได้ 2,404 ล้านบาท แต่หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาสอยู่ที่ 708 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 11.6% และกำไรจากการดำเนินงานสำหรับ 9 เดือนอยู่ที่ 2,656 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 13.4%
อย่างไรก็ตาม

บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด และจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังจากปัจจัยลบภายในประเทศคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และภาครัฐมีมาตรการยกเลิกการประกาศเคอร์ฟิว เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัวในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและบรรยากาศการซื้อสินค้าของผู้บริโภคให้กลับมาคึกคัก โดยพบว่า ยอดขายสินค้าเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาและทยอยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้เตรียมแผนการตลาดและสินค้าใหม่เพื่อรองรับการฟื้นตัว

อาทิ การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซีวิทขนาด 1 ลิตรในร้านสะดวกซื้อชั้นนำทั่วประเทศ การออกผลิตภัณพ์พิเศษลิมิเต็ด อิดิชั่น ของแบรนด์คาลพิส แลคโตะ กลิ่นพีช ซากุระ และกลิ่นเมเปิ้ลไซรัป และ ‘สลิมม่าเจลลี่’ ผลิตภัณฑ์ใหม่จากแบรนด์ ‘สลิมม่า’ ที่มีส่วนผสมของใยอาหาร แอลคาร์นิทีน และวิตามินบี ช่วยลดการดูดซึมและเผาผลาญไขมัน จึงมั่นใจว่าภาพรวมยอดขายในไตรมาสสุดท้ายจะขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ที่ผ่านมา รวมถึงพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากกัญชง-กัญชา ทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มร่วมกับพันธมิตรหลักอย่างยันฮี และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล พร้อมออกสู่ตลาดในปีหน้าตอบสนองความต้องการด้านใหม่แก่ผู้บริโภค เพื่อผลักดันการเติบโตและสร้างธุรกิจในอนาคต

นอกจากนี้ OSP ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 146 บริษัทจดทะเบียนที่มีรายชื่ออยู่ในหุ้นยั่งยืน ‘Thailand Sustainability Investment’ (THSI) ประจำปี พ.ศ. 2564 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน