การ์ทเนอร์ เผย บุคลากรไอที ตั้งใจทำงานต่อกับนายจ้างเดิมมีเพียง 29% เท่านั้น

22

การ์ทเนอร์เผยผลสำรวจล่าสุด พบพนักงานสายไอทีมีแนวโน้มลาออกจากงานที่ทำอยู่มากกว่าพนักงานสายอื่น ๆ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับพนักงานสายอื่น ๆ กลุ่มไอทีมีความตั้งใจอยู่ต่อกับองค์กรเดิมน้อยกว่าถึง 10.2% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดของทุกสายงานทั้งหมดขององค์กร

เกรแฮม วอลเลอร์ รองประธานฝ่ายวิจัยและนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า การรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้ทำงานต่อกับองค์กรเป็นเรื่องน่ากังวลของผู้บริหารระดับสูง และเป็นปัญหามาอย่างยาวนานของผู้บริหารด้านไอที (CIOs) เนื่องจากทีมงานของพวกเขาจำนวนมากสุ่มเสี่ยงที่จะลาออก เรารู้ว่าบริษัทไอทีที่นำนโยบายการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศมาใช้ต้องพบกับปัญหาการลาออกของทีมงานเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องกลับมาทบทวนถึงการใช้แนวทางดังกล่าว ผู้บริหารไอทีอาจต้องปรับรูปแบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่นมากกว่าแผนกอื่น ๆ ในองค์กร เนื่องจากแนวโน้มที่พนักงานไอทีจะลาออกนั้นมีสูงกว่า และเชี่ยวชาญการทำงานผ่านระยะไกลมากกว่าพนักงานส่วนใหญ่

เพียง 29.1% ของพนักงานไอทีทั่วโลกเท่านั้นที่มีความตั้งใจทำงานต่อกับนายจ้างปัจจุบัน ยิ่งในเอเชียมีตัวเลขที่ต่ำมากเพียง (19.6%) ขณะที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อยู่ที่ (23.6%) และละตินอเมริกาที่ (26.9%) หรือแม้แต่ในยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด กลับพบว่ามีพนักงานไอทีเพียง 4 ใน 10 คน (38.8%) ที่ตั้งใจอยู่กับองค์กรเดิม

ความท้าทายในการรักษาทีมงานไอทีระดับหัวกะทิแตกต่างกันไปตามกลุ่มอายุและภูมิภาค ตัวอย่างเช่น พนักงานไอทีที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี ตามรายงานระบุว่ามีโอกาสที่จะทำงานต่อกับที่เดิมมีน้อยกว่ากลุ่มที่อายุมากกว่า 50 ปีถึง 2 เท่าครึ่ง ในขณะที่เพียง 19.9% ของพนักงานกลุ่มอายุ 18-29 ปี เท่านั้น ที่ตั้งใจทำงานต่อในองค์กรเดิมสูง เมื่อเทียบกับ 48.1% ของพนักงานที่มีอายุ 50-70 ปี

ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่นและยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centric) สามารถลดปัญหาการลาออกและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ เมื่อปี พ.ศ. 2564 การ์ทเนอร์ได้สำรวจพนักงาน 3,000 คน ครอบคลุมอุตสาหกรรม สายงาน และภูมิภาคต่าง ๆ พบว่า 65% ของพนักงานไอทีบอกว่าการทำงานที่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวส่งผลต่อการตัดสินใจอยู่ทำงานต่อกับองค์กร

นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ผู้บริหารไอทีควรใช้แนวทาง Data-Driven วิเคราะห์พนักงานที่สุ่มเสี่ยงต่อการลาออกและระบุว่าใครมีคุณค่าต่อองค์กรมากที่สุด พร้อมปรับนโยบายการทำงานให้มีความผสมผสานเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและเพิ่มประสิทธิภาพในหมู่พนักงานให้สูงขึ้น

รูปแบบการทำงานที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human – Centric) สามารถช่วยพัฒนาต่อยอดความสามารถของทีมงานระดับหัวกะทิรวมถึงสร้างผลตอบแทนให้ธุรกิจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารไอทีทบทวนถึงประเด็นต่าง ๆ ของรูปแบบการทำงานที่ล้าสมัย และจำกัดความก้าวหน้าขององค์กรโดยไม่มีความจำเป็น ดังต่อไปนี้:

• ชั่วโมงการทำงาน (Working hours) — องค์กรหัวก้าวหน้าจะสนับสนุนให้พนักงานและทีมงานตัดสินใจเองว่าเวลาใดที่จะทำงานออกมาได้ดีที่สุด รวมทั้งจัดตารางทำงานใหม่ที่เหมาะสมได้ด้วยตนเอง เช่น การทำงานสัปดาห์ละสี่วัน

• การทำงานที่ออฟฟิศ (Office centricity) — การระบาดใหญ่ได้ทลายความเชื่อการทำงานเดิม ๆ ที่ทุกคนจะทำงานได้จริงและออกมาดีต้องมาออฟฟิศ และมีหัวหน้างานคอยสอดส่องดูแลช่วยเหลือควบคุมความคืบหน้าของงาน ปัจจุบันองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่กำลังวางแผนปรับโหมดการทำงานไปสู่ไฮบริดเพื่อรองรับการทำงานในอนาคต และเข้าใจว่าพนักงานสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพจากระยะไกล สำหรับงานที่ต้องใช้ ‘สมาธิ’ ขณะที่ออฟฟิศยังเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับทำกิจกรรมร่วมกันบางอย่าง อาทิ สำหรับสร้างความสัมพันธ์และทำงานร่วมกัน

• การประชุม ประชุม และประชุม (Meetings) — วัฒนธรรมการประชุมเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2493 โดยเป็นการนำผู้คนมารวมตัวกันเพื่อตัดสินใจบางเรื่อง แต่ตอนนี้มีเครื่องมือการทำงานร่วมกันทั้งแบบต่างและเหมือนกันที่ช่วยให้ทีมสามารถตัดสินใจ ทำงานร่วมกัน และแชร์ความคิดสร้างสรรค์ในแบบกระจายศูนย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

“ผู้บริหารไอทีที่นำแนวทางการทำงานแบบยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centric) มาปรับใช้จะสามารถหลุดพ้นจากกรอบเดิม ๆ ทั้งในเรื่องของการจ้างงาน การรักษาบุคลากร และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานรูปแบบใหม่ ๆ ที่หวนกลับไปสู่กระบวนทัศน์ต่าง ๆ ของการทำงานยุคอุตสาหกรรม” วอลเลอร์กล่าวสรุป

ข้อมูลการสำรวจตลาดแรงงานทั่วโลก (Global Labor Market Survey) ของการ์ทเนอร์ รวบรวมและสรุปคำตอบมาจากพนักงานมากกว่า 18,000 คนใน 40 ประเทศ ซึ่งเป็นพนักงานสายไอที จำนวน 1,755 คน ณ ไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2564