ประชากรไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะปอด (lung cancer) และปอดอักเสบจากการติดเชื้อ (pneumonia) ในทุกปี ปัจจุบันจากข้อมูลทางสถิติ โรคระบบทางเดินหายใจทั้งสอง นับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในห้าอันดับแรกของประชากรไทย นอกเหนือไปจากโรคหัวใจขาดเลือด และอัมพาตุหรืออัมพฤกษ์ จากโรคหลอดเลือดในสมอง ที่จัดว่าเป็นโรคไม่ติดต่อที่สำคัญที่พบได้บ่อยในประชากรไทย
รศ.นพ. ธีระศักดิ์ แก้วอมตวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ศูนย์อายุรกรรม รพ.วิมุต จะมาไขข้อข้องใจในเรื่องโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับปอด รวมไปถึงประชากรกลุ่มเสี่ยง ปัจจัยกระตุ้น และปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรค สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม ไปจนถึงแนวทางป้องกันโรคปอดที่ทุกคนพึงสามารถทำได้ อย่างเช่น การดูแลสุขภาพปอด หลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ (air pollutants) หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ (aeroallergen) ในผู้ป่วยโรคหืดและกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งการงดสูบบุหรี่ (smoking cessation) และ การฉีดวัคซีน (vaccine) เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่นไข้หวัดใหญ่ (influenza) และป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมค็อกคัส ( pneumococcus) เป็นต้น
“ปอดของมนุษย์ไม่ได้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์มาตั้งแต่แรกเกิด เพราะสมรรถภาพปอดที่ดี ต้องอาศัยการเจริญเติบโตที่ดีต่อเนื่องตั้งแต่ในครรภ์ แรกเกิดและในวัยเด็ก (prenatal and perinatal period) ปอดมีพัฒนาการอย่างเต็มที่ในช่วงอายุ 20-25 ปี หลังจากนั้น จะเริ่มคงที่และค่อย ๆ เสื่อมลงตามวัย (aging lungs) แต่เสื่อมเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัยที่มีผลกระทบ เช่น มลพิษทางอาการหรือหรือติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ”
ในแง่ของกรรมพันธุ์ ประชากรที่มีโรคปอดหรือโรคระบบทางเดินหายใจเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เช่น โรคหืด หรือ ภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ มีโอกาสที่ปอดทำหน้าที่ไม่เท่ากับประชากรปกติ นอกจากนี้ ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือทารกแรกเกิดที่ตัวเล็กน้ำหนักตัวน้อยก็อาจมีพัฒนาการของปอดที่ไม่ดี อีกปัจจัยหนึ่ง คือคนไข้ที่มีอาการติดเชื้อในปอดแบบเป็น ๆ หาย ๆ การทำงานของปอดก็มีโอกาสเสื่อมถอยลงได้รวดเร็วขึ้น ประกอบกับเมื่อผู้ป่วยดังกล่าวสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้น เช่น ควันบุหรี่ หรือมลพิษทางอากาศ เช่นฝุ่นขนาดเล็กในอากาศ (particulate matter 2.5 หรือ PM 2.5)nทำให้ปอดที่ไม่ดีอยู่แล้ว เกิดเสื่อมถอยของสมรรถภาพปอดเร็วมากขึ้นไปอีก
โรคเกี่ยวกับปอดจะแบ่งเป็น 2 ประเภทได้ง่ายจากกลไกก่อโรค ได้แก่ โรคติดเชื้อ (infectious diseases) และโรคไม่ติดเชื้อ (non-infectious diseases) ซึ่งโรคปอดจากการติดเชื้อที่เรารู้จักกันได้แก่ ปอดอักเสบจากการติดเชื้อ หรือปวดบวม รวมทั้งโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีการติดเชื้อจากแบคทีเรียและไวรัสอื่น ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และวัณโรคปอด ส่วนโรคไม่ติดเชื้อก็จะแบ่งเป็น โรคที่เป็นมาแต่กำเนิด (inherited diseases)
และโรคที่เกิดภายหลัง (acquired diseases) โรคปอดพิการแต่กำเนิด โรคหืด หรือกลุ่มที่เป็นภูมิแพ้ มักพบในวัยเด็ก มีประวัติในครอบครัวเป็นโรค ซึ่งการป้องกันทำได้ยาก เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยช่วงตั้งครรภ์ หรือก่อนคลอด ส่วนโรคปอดที่เกิดภายหลัง เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต (life style factors) หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว (environmental factors) เช่น การสูบบุหรี่หรือการรับควันบุหรี่มือสอง เพิ่มความเป็นโรคถุงลมโป่งพอง หรือปอดอุดกั้นเรื้อรัง และมะเร็งปอด
นอกจากนี้ การสูดมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5, มลพิษทางอากาศ ที่เกิดจากการทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน โดยโรคปอดที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ เหล่านี้ เป็นโรคที่พบในประชากรไทยได้บ่อยมากขึ้น” รศ.นพ. ธีระศักดิ์ กล่าว ส่องสัญญาณเตือนปอดทำงานผิดปกติ แพทย์แนะสังเกตอาการตัวเองก่อนสาย
“สัญญาณเตือนอันดับแรกคือการไอ โดยเฉพาะอาการไอเรื้อรัง อันดับที่ 2 คือ อาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก เหนื่อยง่ายผิดปกติเมื่ออกแรง อันดับที่ 3 อาการเจ็บหน้าอก ซึ่ง 3 อาการที่พบในผู้ป่วยนี้ เรียกว่าเป็นอาการที่สัมพันธ์กับโรคปอดและระบบทางเดินหายใจ ” รศ.นพ. ธีระศักดิ์ อธิบาย
หากมีอาการไอเรื้อรังหรือเกิน 8 สัปดาห์ขึ้นไป ส่วนมากจะไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัสและจะหายเองไม่ได้ จำเป็นต้องรับการตรวจหาสาเหตุ สำหรับอาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก ก็อาจเป็นเรื่องปอดหรือไม่ใช่ก็ได้ เช่น อาจเหนื่อยหอบเพราะเป็นโรคโลหิตจางหรือโรคหัวใจ ทั้งนี้ก็ควรพบแพทย์เพื่อประเมินและหาสาเหตุอย่างจริงจัง
การเจ็บหน้าอก บางคนเข้าใจว่าเจ็บหน้าอกเป็นเรื่องโรคหัวใจเท่านั้น จริง ๆ อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการโรคปอดได้เหมือนกัน เช่น เจ็บแปลบ ๆ ที่บริเวณชายโครงแบบสามารถชี้จุดที่เจ็บได้ชัดเจน สัมพันธ์กับการหายใจ หรืออาการไอ (pleuritic chest pain) ซึ่งจะต่างจากโรคหัวใจที่จะมีอาการเจ็บใต้ลิ้นปี่ หรือเจ็บหน้าอกด้านซ้ายและชี้จุดที่เจ็บไม่ได้ชัดเจน และสัมพันธ์กับการออกแรง (anginal chest pain) มีอาการเหงื่อแตก ใจสั่น ดังนั้น ถ้าเกิดอาการเหนื่อยหอบ เจ็บหน้าอกดังกล่าว หรือมีอาการไอร่วมด้วย ผู้ป่วยดังกล่าวควรรีบมาตรวจเพื่อสืบค้นสาเหตุและรับการรักษาต่อไป
สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคปอดมาก่อน เช่น โรคหืดหรือภูมิแพ้ระบบทาง แนะนำให้ติดตามอาการและพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าไม่มีโรคประจำตัว การป้องกันการสัมผัสปัจจัยกระตุ้น มีผลป้องกันการเกิดโรค ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ รวมทั้งควันบุหรี่ ทั้งสูบเองและการรับควันบุหรี่มือสอง ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรตรวจติดตามกับแพทย์ เพื่อให้ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบของปัจจัยดังกล่าวต่อการเกิดโรคไว้ก่อน เพราะหากนิ่งนอนใจ โรคอาจรุนแรงและรักษาได้ยากลำบาก
โรคปอดติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อโรคที่มากับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นไวรัส หรือแบคทีเรีย ที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะอาจไปรับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว การป้องกันในประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่นผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ที่มีโอกาสเสียชีวิตจากการติดเชื้อดังกล่าวในระบบทางเดินหายใจ มากกว่าประชากรทั่วไป ในประเทศไทย นอกจากการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ หรือโควิด 19 ยังมีวัคซีน 2 ตัวที่ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และปอด คือวัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ (influenza vaccine) กับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine)
“ทั้งนี้แนะนำให้พบแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำก่อนฉีดวัคซีนดังกล่าว การรู้จักโรคทางเดินหายใจ ปัจจัยเสี่ยง และสัญญาณเตือน และมาตรการป้องกัน ทั้งปัจจัยจาก สารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ มลพิษทางอากาศรวมทั้งควันบุหรี่ และโรคติดเชื้อในทางเดินหายใจ ถือว่าเป็น ปัจจัยทั้งสาม (triple threats) ส่งผลกระทบร่วมกันต่อสุขภาพปอดของคนไทยในปัจจุบัน ด้วยแนวทางดังกล่าว ช่วยเสริมให้ประชากรไทยมีสุขภาพปอดที่ดียิ่งขึ้น” รศ.นพ. ธีระศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย