จ.สระบุรี ผนึก TCMA จับมือพันธมิตร เร่งเครื่องลดก๊าซเรือนกระจก ด้วยปูนลดโลกร้อน

33

ผู้ว่าฯ จังหวัดสระบุรี นำทัพภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน-ผู้ประกอบการ บูรณาการความร่วมมือจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จังหวัดสระบุรี ประกาศความพร้อมเดินหน้าใช้งานปูนลดโลกร้อน (ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก) ในทุกงานก่อสร้างของจังหวัด เพื่อมีส่วนร่วมสำคัญในความสำเร็จลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เป้าหมาย 1,000,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ภายในปี 2566

ผล ดำธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามที่ได้กล่าวต่อที่ประชุมระดับผู้นำ (World Leaders Summit) ในการประชุม COP 26 ที่จะยกระดับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นร้อยละ 40 ในปี 2573 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2608 ส่งผลให้ประเทศไทยให้มีศักยภาพในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

จังหวัดสระบุรีเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศ และมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงให้ความสำคัญในการพัฒนาจังหวัดตามแนวทาง BCG เพื่อสร้างสมดุล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมุ่งมั่นดำเนินการตามแผนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับจังหวัด ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

จากการศึกษาปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในจังหวัดสระบุรี ข้อมูลในปี พ.ศ. 2558 พบว่า จังหวัดสระบุรีมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับ 27.93 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยกิจกรรมย่อยที่มี
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด คือ กระบวนการทางอุตสาหกรรม (ร้อยละ 68.32) สอดคล้องกับบริบทของจังหวัดสระบุรีเนื่องจากเป็นแหล่งอุตสาหกรรม โดยหนึ่งในมาตรการที่มีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจก คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต่ำกว่าเคยมีมา

จังหวัดสระบุรีจึงได้ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระบุรี จัดให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การบูรณาการความร่วมมือในการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จังหวัดสระบุรี เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการส่งเสริมการใช้วัสดุก่อสร้างประเภทปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกขึ้น ในวันนี้ โดยความร่วมมือสนับสนุนอย่างดียิ่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด ทั้งภาครัฐ องค์กรปกครอง-ส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน-ผู้ประกอบการ

“ความสำเร็จใดๆ จะเกิดขึ้นได้ จากความร่วมมือดำเนินการอย่างจริงจังของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง วันนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของจังหวัดสระบุรี ที่จะร่วมเป็นกำลังสำคัญในความสำเร็จของการลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ภายในปี 2566 ด้วยการสนับสนุนให้ทุกโครงการก่อสร้างในจังหวัดสระบุรี ใช้ “ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก” เพื่อช่วยลดโลกร้อน โดยขอความร่วมมือทุกหน่วยงานที่มีโครงการก่อสร้าง ให้ใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก เป็นทางเลือกแรก รวมทั้งเชิญชวนภาคเอกชนและประชาชน มาใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก เพื่อให้ลูกหลานของชาวสระบุรีดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีสืบไป” ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าว

ดร. ชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) กล่าวว่า การพัฒนาปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก สามารถลดก๊าซเรือนกระจก ช่วยลดโลกร้อน ได้อย่างมีนัยสำคัญ การลดการเผาหินปูนในกระบวนการผลิต และนำเทคโนโลยีการบดเข้าใช้ เพื่อควบคุมคุณภาพตามมาตรฐาน มอก. 2594 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ จึงนับเป็นปูนซีเมนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีคุณสมบัติใช้แทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ได้

“ความร่วมมือดำเนินการจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ นับเป็นกลไกสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จ TCMA มีความยินดียิ่งที่ได้รับเกียรติให้เข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อน และขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีที่ให้การสนับสนุนอย่างดียิ่ง รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดสระบุรี ทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน-ผู้ประกอบการ ที่มาผนึกกำลังร่วมมือกันดำเนินการ ซึ่งหากสามารถลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ภายในปี 2566  จะเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญสู่ Thailand’s New Era of Low Carbon Cement และผู้ผลิตพร้อมยกเลิกการผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ประเภท 1 ในวันที่ 1 มกราคม 2567” ดร. ชนะ กล่าว

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนโยบายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศอย่างต่อเนื่อง
มีการจัดทำ Thailand Net Zero Cement and Concrete Roadmap 2050 ร่วมกับสมาคมคอนกรีตแห่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนของ Global Cement and Concrete Association (GCCA) ภายใต้ Roadmap ประเมินว่า จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 30.3 ล้านตัน CO2 โดยลดลงได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย Thailand NDC และเข้าสู่ Net Zero ในปี  2593 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางระดับโลก