เปิดโมเดลนวัตกรรมเพื่อสังคม–เศรษฐกิจ ‘มข.’ ชูเทคโนโลยี ‘เตียงอัจฉริยะ’ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยสูงวัย–เพิ่มรายได้ชุมชน
สถานการณ์ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (นวัตกรรมเพื่อสังคม) โดยตัวเลขจากกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สะท้อนว่า ปี 2566 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุ 13,064,929 คน คิดเป็น 20.8% ของประชากรทั้งประเทศ รวม 66,052,615 คน
ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียงมากถึง 174,409 คน คิดเป็น 1.3% ของผู้สูงอายุ (ที่เข้าระบบ) พร้อมคาดการณ์ว่า ในปี 2574 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 28.87% หรือ 18,000,000 คน และมีประชาชนป่วยติดเตียงเพิ่มขึ้น 234,000 คน (ไม่รวมผู้ป่วยนอกระบบ)
จากแนวโน้มดังกล่าวนำมาสู่การริเริ่ม “โครงการพัฒนาส่งเสริมการผลิตเตียงพลิกตัวต้นทุนต่ำสำหรับผู้ป่วยติดเตียงโดยชุมชน” โดย คณะเศรษฐศาสตร์ คณะเทคนิคการแพทย์ และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งดำเนินการภายใต้โครงการ CIGUS (C – community, I – industry, G – government, U – university, S – society) ที่มีวัตถุประสงค์นำองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในชุมชนในมิติสาธารณสุข สังคม และเศรษฐกิจ โดยมีพื้นที่นำร่องใน 2 ชุมชน ได้แก่ ตำบลบ้านโต้นและตำบลหนองแวง อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น
ศ.ดร.วิชัย อึงพินิจพงศ์ อาจารย์คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการดังกล่าว ว่า โครงการนี้มี แนวคิดในการพัฒนาเตียงอัจฉริยะที่ช่วยลดแผลกดทับ โดยเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยสูงวัยและผู้ดูแลคนป่วย พร้อมกับพัฒนาทักษะช่างให้สามารถนำมาพัฒนาต่อยอด สร้างงาน และ สร้างรายได้เข้าสู่ชุมชน
ทั้งนี้ได้ดำเนินการพัฒนาเตียงพลิกตัวและนำไปมอบให้กับเทศบาลตำบลบ้านโต้น จำนวน 3 เตียง และเทศบาลตำบลหนองแวง อีกจำนวน 2 เตียง พร้อมกับอบรมให้ความรู้และวิธีการใช้เตียงพลิกตัวอย่างถูกต้อง
โดยภายหลังการติดตามการใช้งานพบว่า เตียงช่วยพลิกตัวและลดแผลกดทับนี้นำมาซึ่งประโยชน์ทั้งผู้ป่วย ผู้ดูแล และชุมชน ฃโดยประโยชน์ของเตียงพลิกตัวจะช่วยป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมถึงคนป่วยที่มีภาวะอ่อนแรงไม่สามารถพลิกตัวเองไม่ได้ เพราะเตียงนี้แค่กดปุ่มก็ตะแคงได้ ผู้ดูแลจะทำงานง่ายขึ้น หรือถ้าไม่มีคนดูแล ผู้ป่วยก็กดปุ่มแล้วเตียงตะแคงเองได้
ส่วนผู้ดูแลที่อาจเป็นญาติ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) รวมถึงผู้ดูแล Caregiver เตียงอัจฉริยะนี้จะช่วยลดระยะเวลาในการดูแลผู้ป่วยลง ทำให้ไม่เป็นภาระมากจนเกินไป และสามารถนำเวลาส่วนนี้ไปทำประโยชน์และสร้างรายได้จากงานส่วนอื่น ๆ
“ในสองตำบลนี้ มีผู้ป่วยติดเตียง 22 คน แต่ในช่วงแรกนี้สามารถจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วยติดเตียง 5 คนเท่านั้น ซึ่งอนาคตคาดว่าผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้น โดยแบ่งได้เป็นผู้สูงอายุที่แข็งแรง 80% อีก 10% เป็นภาวะอ่อนแรง แล้วก็อีก 10% ติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้” ศ.ดร.วิชัยกล่าว
ขณะที่ในมิติของชุมชน เตียงพลิกตัวนี้จะช่วยให้ชุมชนสามารถมีรายได้จากการผลิตเตียง โดยนำแบบที่พัฒนาโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ไปดำเนินการพร้อมรับการอบรมฝึกทักษะฝีมือช่าง ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่อหนึ่งเตียงประมาณ 10,000-15,000 บาท โดยอยู่ระหว่างการปรับรายละเอียดของแบบเพื่อให้เตียงในเวอร์ชั่นใหม่นี้สอดรับกับการใช้งานได้เป็นอย่างดี เช่น ปรับความสูงของเตียงให้ต่ำลง รวมถึงปรับขนาดของเตียงเพื่อให้เคลื่อนย้ายเข้าบ้านของชุมชนได้ เป็นต้น
ด้าน ผศ.ดร.สุรกานต์ รวยสูงเนิน อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ประเด็นหลักของการออกแบบเตียงจะคำนึงถึงสภาพจิตใจผู้ป่วยและผู้ดูแลก่อนเป็นลำดับแรก โดยพยายามลดภาระผู้ดูแล และให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่การมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น เมื่อผู้ดูแลลดภาระลงจากที่เคยพลิกตัวทุก 2 ชั่วโมง ก็เปลี่ยนมาเป็นแค่ช่วงเวลาหลัก ๆ ได้แก่ ตอนทานอาหาร ทำความสะอาดร่างกาย
“ขนาดของเตียงที่ออกแบบ ในแรกเริ่มคิดที่จะพัฒนาเป็นขนาด S M L เพื่อให้สอดรับกับผู้ป่วยที่มีความแตกต่างกัน แต่เพราะเป็นช่วงแรกจึงพัฒนาเป็นขนาด L ทำให้พบข้อจำกัดการเคลื่อนย้ายเตียงเข้าสู่ภายในบ้าน ในระยะต่อมาจึงปรับขนาดลดลงเป็น 900×2 เมตร จากเดิมขนาด 1.2 x 2 เมตร มีต้นทุนการผลิตประมาณ 15,000-20,000 ไม้ โดยใช้วัสดุไม้แปรรูปที่หาซื้อได้จากร้านวัสดุก่อสร้างทั่วไป เช่น ไม้ยางพารา และไม้เนื้อแข็ง ซึ่งจะรับน้ำหนักผู้ป่วยได้มากถึง 200 กิโลกรัม” ผศ.ดร.สุรกานต์ กล่าว
สำหรับแนวคิดของการต่อยอดโครงการนั้น ผศ.ดร.สุรกานต์ กล่าวว่า โครงการพัฒนาเตียงเพื่อผู้สูงวัยที่ป่วยติดเตียงได้สร้างประโยชน์ทั้งในมิติในสังคม และเศรษฐกิจ ในอนาคตหากสามารถต่อยอดไปสู่วิสาหกิจชุมชนได้จะเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก เพราะวิธีการผลิตที่ง่าย ทักษะช่างไม้ที่มีอยู่ในชุมชนสามารถดำเนินการได้เลยตามแบบและคู่มือการประกอบที่เตรียมจัดทำขึ้น
ขณะที่อุปกรณ์มอเตอร์ไฟฟ้าก็หาได้ง่ายในร้านค้าชุมชน ถ้าเป็นการผลิตในปริมาณที่มากขึ้นในอนาคตจะยิ่งเป็นการลดต้นทุนลงมาอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อเตียง ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน รวมถึงเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเตียงในกลุ่มของผู้ป่วยที่มีรายได้น้อย
รศ.ดร.นรชิต จิรสัทธรรม หัวหน้าสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ในมุมของเศรษฐศาสตร์ได้ทำการประเมินแล้วว่าการผลิตเตียงในโครงการนี้จะช่วยลดค่าเสียโอกาสได้มาก เช่น ผู้ดูแลที่เป็นญาติ หรือ Caregiver จากที่ปกติใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการดูแลผู้ป่วยสามารถลดชั่วโมงการทำงานลงเหลือเพียงชั่วโมงเศษเท่านั้น ซึ่งเวลาที่ลดลงนี้สามารถไปทำประโยชน์ได้อีกมาก
“คนอาจจะคิดว่าทำไมไม่บริจาคแล้วไปซื้อเตียงให้ผู้ป่วยเลยซึ่งเร็วกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ประโยชน์จะเกิดในส่วนเดียว เมื่อเทียบกับโครงการที่ดำเนินการอยู่นี้ พัฒนาเตียงขึ้นมาสามารถลดแผลกดทับได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถทำให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมและช่างฝีมือมีรายได้ สร้างประโยชน์ได้หลายส่วนพร้อมกัน เป็นการกระจาย และ หมุนเวียนผลประโยชน์ในชุมชน จากนี้ไปอยากเห็นการพัฒนาไปสู่เตียงที่ปรับแบบใหม่ช่างได้รับการอบรม และยกระดับเป็นกลุ่มอาชีพทางสังคมที่ช่วยทำเตียง รับออเดอร์งานได้ต่อไป โดยโอกาสและศักยภาพสามารถต่อยอดได้อีกมากจากแนวโน้มการขยายตัวของสังคมผู้สูงอายุในไทย” รศ.ดร.นรชิต กล่าว
ชัยชาญ เพชรสีเขียว ตัวแทนกลุ่มผู้ผลิตเตียงในชุมชน กล่าวว่า ภายหลังจากได้รับเตียงอัจฉริยะที่ทาง มข. ส่งมาให้ผู้ป่วยในชุมชนก็ได้เริ่มเข้าไปให้ความรู้ถึงวิธีการใช้งานกับผู้ป่วยติดเตียงว่าเตียงนี้มีข้อดีคือ มีปุ่มให้กด สามารถนั่ง เอนซ้าย เอียงขวาได้ ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อผู้ป่วยที่ช่วยให้อากาศถ่ายเท และไม่เกิดแผลกดทับ รวมถึงแบ่งเบาภาระของผู้ดูแลด้วย
ขณะเดียวกันก็เริ่มบอกกล่าวถึงช่างในหมู่บ้านที่ส่วนหนึ่งทำงานประจำและบางส่วนที่ว่างงาน ให้ได้รับทราบถึงโครงการนี้ รวมถึงการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่อไป
สำหรับผู้สนใจเตียงดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 043 202 267