เนสท์เล่นำทีมพนักงานจิตอาสา เปลี่ยนมูลโคสู่มูลค่าเพื่อเกษตรกรโคนม ชุมชนอำเภอชุมพวง

13

ฟาร์มโคนมเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมอาหาร การจัดการฟาร์มให้เหมาะสมจะส่งผลดีต่อต้นทุนของเกษตรกร คุณภาพของน้ำนม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนสท์เล่นำทัพพนักงานจิตอาสา ภายใต้โครงการ Nestlé CARES ลงพื้นที่ฟาร์มโคนมสมาชิกสหกรณ์โคนมชุมพวง อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา สร้างลานปูนสำหรับตากมูลโคเพื่อช่วยจัดการของเสียจากฟาร์มโคนม ซึ่งนอกจากจะเปลี่ยนมูลโคให้มีมูลค่าแล้วยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ซึ่งเน้นไปที่เทคนิคการจัดการของเสียในฟาร์มที่สร้างสรรค์และส่งผลดีต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและเกษตรกรในท้องถิ่น

เนสท์เล่ได้ส่งเสริมและให้ความรู้กับเกษตรกรไทยเกี่ยวกับการจัดการฟาร์มโคนมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2525 นักวิชาการการเกษตรของเนสท์เล่ได้ช่วยให้เกษตรกรโคนมได้พัฒนาคุณภาพและปริมาณของน้ำนมดิบผ่านการให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการฟาร์มโคนม ระบบโภชนาการอาหารโค รวมถึงการจัดการของเสียอย่างเป็นระบบ ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อเกษตรกรและผู้บริโภคแล้ว ยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นไปตามเป้าหมายของเนสท์เล่ในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์การเดินหน้าขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา หรือ Good for the Planet เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

การจัดการของเสียในฟาร์มโคนมอย่างสร้างสรรค์ ประกอบไปด้วย
• จากมูลโค สู่มูลค่า: เกษตรกรสามารถนำมูลโคจากคอกไปตากบริเวณลานปูนที่พนักงานเนสท์เล่จิตอาสาได้ร่วมกันสร้าง เมื่อแห้งแล้วสามารถนำไปใช้ในแปลงหญ้าอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและบางส่วนสามารถแบ่งไปจำหน่ายในรูปของปุ๋ยคอก สร้างแหล่งรายได้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกร
• การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: การตากมูลโคบนลานปูนจะใช้เวลาสั้นกว่าการตากบนลานดิน จึงช่วยลดปริมาณก๊าซมีเทนที่เกิดจากขั้นตอนนี้
• ลดการปนเปื้อนของสิ่งปฏิกูลลงสู่ดินและแหล่งน้ำ เพื่อสุขอนามัยที่ดีของคนในชุมชน

นางสาวเจนิกา คอนเด ครูซ ผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรมองค์กรและความยั่งยืน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัดกล่าวว่า “เนสท์เล่ ประเทศไทย จัดกิจกรรมจิตอาสาสำหรับพนักงาน หรือ Nestlé CARES มาเป็นเวลาต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 และมีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำลานปูนเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในการจัดการฟาร์มโคนมตามหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู รวมไปถึงปรับปรุงทัศนียภาพ และภูมิทัศน์พื้นที่บริเวณโดยรอบฟาร์มโคนมของเกษตรกร โดยครั้งนี้เราได้สร้างลานปูนขนาดมาตรฐานที่ตากมูลโคได้ถึง 80 กระสอบ ช่วยเหลือเกษตรกร 10 ฟาร์ม เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมนี้นอกจากจะส่งเสริมให้เกษตรกรมีแนวทางการจัดการมูลโคอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอีกด้วย ในขณะเดียวกัน พนักงานเนสท์เล่ที่ร่วมกิจกรรมก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูในฟาร์มโคนม ซึ่งเป็นเรื่องที่เนสท์เล่ให้ความสำคัญ”

นายวิเศษ คำเกิด ประธานสหกรณ์ฟาร์มโคนม อำเภอชุมพวง กล่าวว่า “รู้สึกดีใจที่ทางเนสท์เล่เห็นความสำคัญของเกษตรกรที่เป็นคู่ค้ากันมานาน เพื่อการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพน้ำนมดิบให้ดียิ่งขึ้นเพื่อผู้บริโภค ทางสหกรณ์ทำงานร่วมกับเนสท์เล่มา 30 ปีแล้ว ผมรู้สึกดีใจที่เนสท์เล่เข้ามาทำกิจกรรมเทลานปูนตากมูลโคให้แก่เกษตรกรเพราะยังไม่เคยมีใครเข้ามาทำอะไรแบบนี้มาก่อน การทำลานปูนในครั้งนี้ทำให้เราสามารถเก็บมูลโคออกมาตากแห้งได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และได้มูลโคที่สะอาด ไม่มีสารปนเปื้อน ลดการปล่อยมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ขอบคุณทางเนสท์เล่และหวังว่าในอนาคตทางเนสท์เล่จะเข้ามาจัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้อีก”

ฟาร์มโคนมในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การเกษตรแบบใหม่ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู ซึ่งส่งเสริมเรื่องการจัดการของเสียในฟาร์มอย่างเป็นระบบเพื่อช่วยให้เกษตรกรฟาร์มโคนมสามารถทำปศุสัตว์อย่างยั่งยืน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม