ลมหนาวมาแล้ว หมอกแก้วมาเยือน เช้านี้ที่ “เขาพะเนินทุ่ง”  

13

“ยินดียิ่งแล้ว​ แขกแก้วมาเยือน” ได้ยินประโยคนี้ทีไร รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเช้าวันก่อนที่แก่งกระจาน ทันทีที่เข้าสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ ลำน้ำและป่าเขาก็โอบกอดเราไว้ดังมิตรสหายที่เปี่ยมไปด้วยความคิดถึง

ในรอบปีนี้เราได้เดินทางมายังจังหวัดเพชรบุรีอยู่หลายครา จนทำให้รู้ว่าเมืองเพชรมีดีสมชื่อจริง ๆ ไม่ว่าจะทะเลหรือภูเขา วิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์​ วัฒนธรรมอันงดงาม เพียบพร้อมด้วยอาหารการกิน และที่ยังว้าวไม่รู้จบก็คือแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เรียกร้องให้ต้องกลับมาเยือนอีกเสมอ

ล่องเรือลำน้ำเพชร
ค่ำนี้ที่แก่งกระจาน
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน  เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีขนาดพื้นที่ 1,821,688 ไร่ (2,915 ตร.กม.) เป็นพื้นที่ต้นน้ำสำคัญของแม่น้ำเพชรบุรีและปราณบุรี
ใครที่เข้ามาในพื้นที่ อ.แก่งกระจาน จะทราบดีถึงสภาพอากาศที่ปลอดโปร่ง โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวของปี ไม่ว่าจะเข้าพักในเขตอุทยานหรือรีสอร์ตต่าง ๆ ก็จะซึมซับบรรยากาศที่ฮีลกายฮีลใจได้ดีเหลือเกิน

ทริปนี้เราเข้าพักกันที่ “The Tree Riverside” รีสอร์ตขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเพชรบุรี อยู่ห่างจากเขื่อนแก่งกระจานประมาณ 15 กิโลเมตร
ถือเป็นรีสอร์ตที่มีความครบวงจร มีร้านอาหารขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ลานกิจกรรม ฯลฯ ส่วนห้องพักถือเป็นจุดขายที่ทุกคนชื่นชอบ เพราะมีทั้งห้องพักทั่วไปบนอาคาร 2 ชั้น วิลล่าส่วนตัว และเต็นท์ ซึ่งเป็นเต็นท์ติดแอร์ที่มีความสะดวกสบาย อีกจุดเด่นที่น่าชื่นชมคืออาหารของทางรีสอร์ต ที่มีรสชาติลงตัวสุด ๆ โดยเฉพาะเมนูท้องถิ่น และวัตถุดิบในพื้นที่
เช้านี้ที่พะเนินทุ่ง
เช้าตรู่ขณะที่ฟ้ายังมืด ดาวยังพรายเต็มฟ้า ตี 5 ตรง รถสองแถวพาเราฝ่าความมืดออกไป ใครที่นั่งด้านหลังซึ่งเป็นที่นั่ง 2 แถว ก็จะได้สัมผัสลมเย็นสบายมาก และจะเย็นมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ตัวอุทยานฯ

ด้วยความลาดชันและถนนสายเล็ก ๆ  รวมทั้งการจัดการพื้นที่อย่างเป็นระเบียบ อุทยานฯ จึงได้จัดเวลาสำหรับการขับรถขึ้นเขาพะเนินทุ่งวันละ 2 รอบเท่านั้น ช่วงเช้า เริ่มตั้งแต่เวลา 5.30 -7.30 น. ช่วงบ่าย 13.00 – 15.00 น. ส่วนเวลาลง รอบเช้า 9.00 – 10.00 น. ช่วงเย็น 16.00 – 17.00 น.
ใครที่อยากพักค้างคืนบนเขาพะเนินทุ่ง สามารถติดต่อกับทางอุทยานฯ โดยนำเต็นท์มาเอง หรือจะกางเต็นท์กันที่บ้านกร่างแคมป์ ก็จะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางได้มาก
บ้านกร่างแคมป์
ถนนสวย จากทางเข้า อุทยานแห่งขาติแก่งกระจาน
แม้ระยะทางจากประตูอุทยานฯ ไปสู่จุดชมวิวเขาพะเนินทุ่ง จะไม่ไกลมากนัก ราว 50 กิโลเมตร แต่ด้วยเส้นทางเล็ก ๆ ไต่เขาที่คดเคี้ยว บ้างก็ขรุขระ จากรีสอร์ตที่เราเข้าพักจึงต้องใช้เวลาขาขึ้นเกือบ 2 ชั่วโมง ส่วนขาลงก็จะไวขึ้นมาหน่อย

หมอกมาเยือนเขา หรือเราผู้มาเยือน
เขาพะเนินทุ่งมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าและป่าดิบ สูงจากระดับน้ำทะเลราว 900 เมตร อากาศเย็นสบายตลอดปี โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวที่เปิดโอกาสให้เสื้อหนา ๆ ของเราได้ออกจากตู้สักที
เช้านี้ที่บนเขาพะเนินทุ่งมีนักท่องเที่ยวมากางเต็นท์จนเต็มพื้นที่ เป็นสัญญานที่บอกว่า “ฤดูกาลรับลมหนาว เขาพะเนินทุ่ง” ได้มาถึงอย่างเป็นทางการ
เข้าสู่ “จุดชมวิวเขาพะเนินทุ่ง” จากจุดจอดรถเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว เราจะพบลานกว้างที่มองเห็นหุบเขาในเวิ้งกว้าง ภาพความงดงามของหมอกในแต่ละวันไม่เคยซ้ำกัน บางวันหมอกนิ่ง บางวันหมอกวิ่ง บางวันหมอกหนา บางวันหมอกก็ขึ้นมาอิงอยู่ใกล้ ๆ จึงเป็นคำตอบว่าเหตุใด เมื่อใครชวนไปเขาพะเนินทุ่ง จึงตัดสินใจรับปากในทันที ไม่มีคำว่ารีรอ
แต่ก็ไม่รู้ว่าเราหรือสายหมอก ที่เป็นแขกแก้วในความยินดีของเขาพะเนินทุ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างรอคอยซึ่งกันและกัน แม้ว่าวันนี้ทะเลหมอกจะลอยนิ่งอยู่ในหุบเขาไกล ๆ เจ็ดโมงกว่าแล้วแสงตะวันก็ยังไม่สาดมา เราจึงได้ภาพของสายหมอกในมิติเคร่งขรึม เพียงแค่นี้ก็ทำให้เช้าวันนี้ ดีกว่าในหลาย ๆ วันเป็นไหน ๆ ชื่นสายลมชมหมอกกันอย่างจุใจ ไม่ลืมเวลาที่รถต้องลงจากเขา ก่อนกลับแวะไปยังร้านค้าสวัสดิการ ชิมข้าวแกงรสชาติอร่อย จิบกาแฟยามเช้าท่ามกลางภูเขาที่รายล้อม ยังไม่ทันร่ำลากัน คำว่า “คิดถึง” ก็มายืนออกันเป็นแถว

ขึ้นเขามหาสวรรค์ ย้อนประวัติศาสตร์พระนครคีรี
ลงจากเขาแล้วขอแถมให้อีกเขา ซึ่งอยู่ในตัวเมืองเพชรบุรี ที่นี่คือ “อุทยานประวัติศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พระนครคีรี” ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสมน (สะ-หมน) หรือเขามหาสมณ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระราชทานนามใหม่ว่า “เขามหาสวรรค์” ต่อมาภายหลังเรียกกันว่า​ “เขามไหสวรรย์” ที่นี่ถือเป็นพระราชวังบนภูเขาแห่งแรกของประเทศไทย
ความตื่นตาตื่นใจเริ่มต้นจากกระเช้าที่นำเราขึ้นเขา ไต่ระดับความสูงจนมองเห็นเมืองเพชรได้อย่างเต็มตา ขึ้นมาถึงแล้วจะพบกับความงดงามของทุ่งลีลาวดีที่กระจายตัวไปทั่ว
บริเวณของพระนครคีรีมีพื้นที่กว้างขวาง มีสิ่งที่น่าสนใจราว 30 จุด  วันนี้เราได้เข้าชม “พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์” ซึ่งเป็นพระที่นั่งองค์แรกที่สร้างขึ้นบนพระนครคีรีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2402 เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกขุนนาง ต่อมาดัดแปลงเพื่อใช้รับรองพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ (ห้ามถ่ายภาพ)ต่อเนื่องกันคือ “พระที่นั่งปราโมทย์มไหศวรรย์”​ พระที่นั่งสองชั้น ลักษณะคล้ายเก๋งจีน บันไดค่อนข้างเล็กมาก เพื่อรักษาความปลอดภัยของพระองค์ ประกอบด้วยห้องทรงพระสำราญ ห้องพระบรรทม และห้องแต่งพระองค์ (ห้ามถ่ายภาพ)จุดเที่ยวชมยังมีอีกหลายส่วน อาทิ พระธาตุจอมเพชร พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท พระที่นั่งราชธรรมสภา หอชัชวาลเวียงชัย ฯลฯ


งดงาม ทรงมนต์ขลัง “ถ้ำเขาหลวง”
มาถึงเขาที่สามของทริปนี้ ที่ “ถ้ำเขาหลวง” ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเก่าแก่ของจังหวัด แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่รู้จัก ทั้ง ๆ ที่อยู่ใน “เขาหลวง” ตัวเมืองเพชรบุรี
จากจุดบริการนักท่องเที่ยวก้าวขึ้นบันไดกว้างขวางไปเพียงไม่กี่ขึ้น เราจะพบกับบันไดเล็ก ๆ เป็นทางชันลงไปในหุบเขา  ซึ่งเป็นทางเข้าถ้ำ มองด้วยสายตาถือว่ามีความสูงมากพอที่จะทำให้คนกลัวความสูงถอดใจได้ง่าย ๆ  จึงต้องค่อย ๆ ก้าว และจับราวไว้เพื่อความปลอดภัยถ้ำแห่งนี้มีความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งโปรดฯ ให้สร้างบันไดคอนกรีตยาว 10 เมตรทอดตัวตั้งแต่เชิงเขาไปสู่เบื้องล่างของถ้ำ และโปรดฯ ให้บูรณะพระพุทธรูปโบราณที่ประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำนี้มาอย่างยาวนาน สันนิษฐานว่า พระพุทธรูปโบราณเหล่านี้น่าจะมาจากนักจาริกแสวงบุญที่นำพระมาจากสถานที่ต่าง ๆ แล้วมาประดิษฐานไว้ที่นี่

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงมีพระราชประสงค์สร้างอารามขึ้นภายใน ถ้ำเขาหลวงเพื่อแถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระชนก โดยโปรดฯ ให้สร้างพระพุทธรูปเพิ่มเติมและหนึ่งในนั้นมี การประทับตราประจำรัชกาลที่ 1-5 ไว้ที่ฐานพระ

สำหรับไฮไลต์ที่หลายคนอาจจะเคยเห็น  คือลำแสงที่ลอดช่องลงมาในถ้ำ เป็นปรากฎการณ์ของแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านปล่องบนเพดานถ้ำ เป็นภาพที่งดงามมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของแสงในแต่ละวัน ปรากฎการณ์นี้จะมองเห็นได้ในเวลาประมาณ 9.30 – 10.30 น. แต่วันนี้อากาศค่อนข้างปิด แสงน้อย จึงไม่พบกับปรากฎการณ์ที่ว่า แต่อย่างไรก็ตาม ภายในถ้ำก็ยังคงมนต์ขลังงดงามยิ่ง
ทริปนี้เรายังได้ซึมซับความงดงามของเมืองเพชรในหลากมิติ รวมทั้งการกินอาหารถิ่น ทั้งเมนูปลาแม่น้ำริมอ่างเก็บน้ำแก่งกระจาน และทีเด็ดโดนใจมาอย่างยาวนานก็คือ​ “ร้านระเบียงริมน้ำ” ในตัวเมือง ซึ่งมีเมนูอร่อย ๆ อย่าง แกงหัวตาล ผัดพริกของปลาดุกฟู แกงเขียวหวานปลากรายไส้ไข่เค็ม เนื้อย่างกระเทียมโทน ไข่เจียวเพชรบุรี ฯลฯ ถือเป็นร้านเล็ก ๆ ที่มีรสชาติและบรรยากาศดีงาม
ที่ได้ใจสุด ๆ ไปเลยอีกอย่างคือ “ขนมตาล” สูตรของทางร้าน ที่เนื้อเนียน แน่น นุ่ม หอมหวานลงตัว ยกให้เป็นขนมตาลที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินเลยก็ว่าได้

ออกจากร้านระเบียงริมน้ำ สามารถเดินต่อไปไหว้พระที่ “วัดมหาธาตุวรวิหาร” แล้วแวะไปเดินเล่นที่ตลาดย่านเก่าเพชรบุรี ซึ่งมีสินค้า อาหารให้ชม ช้อป หรือจะแวะถ่ายรูปมุมเก๋ ๆ ตามจุดต่าง ๆ

ถือเป็นทริปเที่ยวเมืองเพชรที่อิ่มอกอิ่มใจเหมือนทุกครั้ง และคงยังคิดถึงเสมอ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเพชรบุรี
032-471005-6