การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และสถานการณ์ของโรคในประเทศไทย

1

มะเร็งปากมดลูก เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้หญิงทั่วโลก โดยเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ในเพศหญิง รองจากมะเร็งเต้านม ขณะที่สมาคมมะเร็งนรีเวชไทยเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์โรคมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทย ปี 2567 ว่า มีผู้ป่วยรายใหม่กว่า 8,000 คนต่อปี หรือ 24 คนต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 12 คนต่อวัน อย่างไรก็ตาม มะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ หากตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ดังนั้น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงทุกคน

บทความนี้จึงจะมาอธิบายเกี่ยวกับนวัตกรรมสมัยใหม่ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ช่วงอายุที่แนะนำในการตรวจคัดกรอง และความถี่ในการตรวจคัดกรองในแต่ละช่วงวัย รวมถึงประสิทธิภาพของการตรวจคัดกรองในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก

นวัตกรรมสมัยใหม่ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

ในปัจจุบันมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้แก่

  • การตรวจหาเชื้อ HPV (Human Papillomavirus) : เป็นการตรวจที่สามารถตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก การตรวจนี้มีความแม่นยำสูงในการตรวจหาความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูก
  • การตรวจ ThinPrep Pap Test : เป็นการตรวจเซลล์มะเร็งปากมดลูกด้วยเทคนิคที่ทันสมัย ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติของเซลล์ได้ดียิ่งขึ้น
  • การตรวจด้วยวิธี Liquid-based cytology (LBC) : เป็นวิธีการตรวจที่ช่วยลดปริมาณสิ่งปนเปื้อนในตัวอย่าง ทำให้การตรวจมีความแม่นยำมากขึ้น
  • การตรวจด้วยวิธี HPV DNA Test : เป็นการตรวจหาเชื้อ HPV โดยตรง ซึ่งมีความแม่นยำสูงในการตรวจหาเชื้อ HPV ที่เป็นสายพันธุ์อันตราย

ช่วงอายุที่แนะนำในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

ช่วงอายุและความถี่ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกขึ้นอยู่กับ อายุและปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคล ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับตนเอง ทั้งนี้สำหรับผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงสามารถดูช่วงอายุและความถี่ที่แนะนำ ดังนี้

  • ผู้หญิงอายุ 21-29 ปี : แนะนำให้เริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกครั้งแรกเมื่ออายุ 21 ปี และตรวจซ้ำทุก 3 ปี หากผลการตรวจเป็นปกติ
  • ผู้หญิงอายุ 30-65 ปี : แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกร่วมกับการตรวจหาเชื้อ HPV ทุก 5 ปี หากผลการตรวจเป็นปกติ หรือตรวจเฉพาะการตรวจเซลล์มะเร็งปากมดลูกอย่างเดียวทุก 3 ปี
  • ผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป : หากผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นปกติ สามารถหยุดการตรวจคัดกรองได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

กลุ่มเสี่ยงที่อาจต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเร็วกว่ากำหนด

สำหรับผู้หญิงบางกลุ่มอาจมีความเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกมากกว่าคนทั่วไป จึงจำเป็นต้องเริ่มตรวจคัดกรองเร็วกว่าปกติ หรือตรวจบ่อยขึ้น โดยปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่

  • ติดเชื้อ HIV : ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV ชนิดก่อมะเร็งสูงขึ้น
  • มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง : เช่น ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง
  • ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน : เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด
  • สูบบุหรี่ : สารพิษในบุหรี่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
  • มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก : พันธุกรรมอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยง
  • เคยมีประวัติเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ : หากเคยมีผลตรวจ Pap smear ผิดปกติมาก่อน
  • ติดเชื้อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูง : โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่
  • มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย : และ/หรือมีคู่นอนหลายคน

ผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง และวางแผนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจแนะนำให้เริ่มตรวจเร็วกว่าอายุ 21 ปี หรือตรวจบ่อยขึ้นกว่าคนทั่วไป

ประสิทธิภาพของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของไทย กับระดับโลก

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทยมีมาตรฐานและแนวทางการตรวจที่สอดคล้องกับระดับสากล อย่างไรก็ตาม อัตราการเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทยยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับบางประเทศที่มีการรณรงค์และให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างจริงจัง ดังนั้น การเพิ่มความตระหนักและความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทย จะช่วยเพิ่มอัตราการเข้ารับการตรวจและลดอัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ