บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย โชว์วิชั่นผู้นำอาหารสัตว์น้ำ เดินหน้ากลยุทธ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำรับดีมานด์ตลาดโลก ปักธงเป้าหมายปี 2573 รายได้แตะ 10,000 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยต่อปี CAGR 11% ผ่านการเติบโตในทุก Segment ชู 4 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนผลการดำเนินงาน เดินหน้าขยายตลาดสู่ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำระดับเอเชีย ดันยอดขายปีนี้เติบโต 8-10% รักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 18-20%
นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมกุ้งไทยถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศ แม้ปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่ยังคงมีโอกาสสำหรับเกษตรกรไทย เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ในระยะยาว จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ตั้งแต่เกษตรกร ห้องเย็น ภาคเอกชน ไปจนถึงภาครัฐ การมีข้อมูลที่ชัดเจนจะช่วยให้การผลิตสอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยต้องเปลี่ยนแนวคิดจากการมองแค่ระยะสั้น มาเป็นการมองในภาพรวมทั้งระบบ เพื่อวางแผนในระยะยาวและสร้างเสถียรภาพของอุตสาหกรรม ด้วยเป้าหมายเพิ่มผลผลิตกุ้งไปสู่ระดับ 400,000 ตันต่อปี ตามนโยบายของรัฐบาลที่มอบผ่านกรมประมง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนยกระดับมาตรฐานฟาร์มให้เป็นไปตามมาตรฐานอาหารสัตว์ระดับโลกจากองค์กร Aquaculture Stewardship Council หรือ ASC พร้อมทั้งเน้นเรื่องความยั่งยืน เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันและรองรับความต้องการในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม จุดมุ่งหมายสำคัญของ TFM นอกจากจะมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักที่เติบโตดีในประเทศแล้ว แต่ยังมุ่งเน้นการขยายธุรกิจสู่น่านน้ำใหม่ในตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตแบบยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง บริษัท อะแวนติฟีดส์ จำกัด (Avanti Feeds) ในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอาหารกุ้ง ครองส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ รวมไปถึงบริษัท พีที ไทยยูเนี่ยน คาริสม่า เลสทารี จำกัด หรือ TUKL ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ในอินโดนีเซีย ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และตั้งเป้าติดอันดับ Top 5 ภายในปี 2569 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมขยายการส่งออกไปเวียดนามผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในและนอกกลุ่ม ด้วยจุดแข็งของ TFM คือ การให้บริการลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขายด้วยมาตรฐานระดับสากล จึงมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมั่นใจ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายตลาดสู่ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำระดับเอเชีย ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบด้วย
1.) Consistent Feed Quality รักษาคุณภาพอาหารสัตว์ที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าของบริษัทฯ ได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีที่สุดและสามารถแข่งขันในตลาดได้
2.) Farmer Engagement สร้างการมีส่วนร่วมกับเกษตรกร โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกรเพื่อให้สามารถพัฒนาระบบการผลิตร่วมกันและให้เกษตรกรสามารถเติบโตไปพร้อมกัน
3.) Strategic Partnership ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งช่วยเพิ่มฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ได้ และ
4.) Sustainability มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยไม่เพียงแต่สนับสนุนเกษตรกรในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและการสร้างผลกระทบทางบวกต่อสังคม จากกลยุทธ์ดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญที่จะสนับสนุนเป้าหมายรายได้แตะ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2573 หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี CAGR 11% ผ่านการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Segment) โดยเฉพาะอาหารกุ้งและอาหารปลา ที่เป็นผู้นำตลาดอยู่แล้ว รวมถึงขยายสู่อาหารปลาน้ำจืดอื่น ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของเกษตรกรและผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวอีกว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 5,365 ล้านบาท เติบโต 5.6% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.7% และกำไรสุทธิโตขึ้นจากปีก่อน 5 เท่าตัวคิดเป็นกำไรที่ 535 ล้านบาท สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 8-10% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 18-20% จากการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ โดยเตรียมพร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงและเตรียมขยายกำลังการผลิตในประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ยังมองหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรในต่างประเทศเพื่อรุกตลาดใหม่ ๆ และขยายตลาดเดิม พร้อมสร้างฐานลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ
ทั้งนี้ สำหรับตลาดในประเทศ TFM จะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอาหารกุ้ง อาหารปลากะพง และอาหารกบ โดยจะมุ่งขยายตลาดในพื้นที่ที่ยังมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ด้วยการรักษาคุณภาพสินค้าให้เป็นที่ยอมรับ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเกษตรกร ผ่านบริการและองค์ความรู้เชิงวิชาการ ขณะเดียวกัน ได้เตรียมขยายสู่ตลาดอาหารปลาน้ำจืดที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และตั้งเป้าก้าวเป็นผู้นำตลาดอาหารปลาน้ำจืดในอนาคต นอกจากนี้ ได้มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหารสัตว์น้ำในประเทศไทย ล่าสุด ได้เปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ “ขุนศึก” อาหารปลานิลที่โดดเด่นในเรื่องช่วยให้ปลาโตเร็วและมีรูปร่างตรงตามความต้องการของตลาด, “กบทอง” อาหารสำหรับกบขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรที่เลี้ยงกบเชิงพาณิชย์ และ “โปรฟีดปลากดคัง” อาหารปลากดคัง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออกของประเทศไทย

ขณะที่ตลาดต่างประเทศ นับเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญของ TFM ในอนาคตและช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตรายได้ จากจุดเริ่มต้นด้วยการส่งออกสินค้าประเทศศรีลังกา และต่อยอดสู่ประเทศที่มีอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเติบโต ได้แก่ อินเดีย และอินโดนีเซีย โดยบริษัทฯ ได้ใช้จุดแข็งจากมาตรฐานการผลิตระดับสูงของไทยแข่งขันในเวทีโลกและการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในแต่ละประเทศ ช่วยเสริมสร้างศักยภาพขยายตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการในแต่ละประเทศได้อย่างตรงจุด