‘WAVE’ ปรับธุรกิจครั้งใหญ่สู่การเติบโตแข็งแกร่งและมั่นคง

0
ถิรพงศ์ คําเรืองฤทธิ

บมจ.เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล หรือ WAVE เผยแผนปี 2568 รุกปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่ เพื่อขยายสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเติบโต เผยผลงานปี 67 ทำรายได้จากการขายและบริการ 468.10 ล้านบาท เติบโต 4% จากปีก่อน และจะมีกำไร 0.6 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษจากการบันทึกเผื่อการด้อยค่าเงินลงทุน และบันทึกเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตเพิ่มขึ้นจาก เวฟ บีซีจี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจคาร์บอนเครดิตครบวงจร และการซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน พร้อมให้ความมั่นใจเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสอดรับกับเมกะเทรนด์โลก

นายถิรพงศ์ คําเรืองฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จํากัด (มหาชน) หรือ WAVE
ผู้ดำเนินธุรกิจโรงเรียนสอนภาษา ธุรกิจให้บริการ Climate Solution ครบวงจร เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 2568 บริษัทฯ ได้ปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อขยายสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเติบโต โดยบริษัท เวฟ เอ็ดดูเคชั่น กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจการศึกษา ได้ขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจสู่การเปิดสถาบันสอนภาษาจีนแมนดาริน “Let’s Mandarin” จากเดิมที่มีสถาบันสอนภาษาอังกฤษ “Wall Street English” ส่วนบริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้บริการ Climate Solution ครบวงจร และเป็นหนึ่งในผู้ถือครองใบรับรองพลังงานหมุนเวียน I-REC(E) รายใหญ่ที่สุดในประเทศ เตรียมนำใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) มาเป็นสินทรัพย์หรือโครงการอ้างอิงสำหรับการออกโทเคนดิจิทัลในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคงในระยะยาว

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค.2567) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 468.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.77 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 4% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยมีรายได้จาก 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจด้านการศึกษา และธุรกิจคาร์บอนเครดิตครบวงจร ซึ่งรวมถึงการให้คำปรึกษาด้านการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจต่างๆ บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30 – 40 ภายในปี 2573 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตลอดจนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ตามพันธสัญญาที่ให้ไว้ต่อองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัท เวฟ บีซีจี ถือเป็นธุรกิจ New S-Curve โดยดำเนินธุรกิจคาร์บอนเครดิตครบวงจรที่มีการซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน หรือ “I-REC(E)” ภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันเป็นการเจรจาและตกลงกันเอง
แบบ Over-the-Counter (OTC) จึงไม่สามารถหาราคาตลาดได้ ดังนั้นในการพิจารณามูลค่าสุทธิของใบรับรองพลังงานหมุนเวียน จึงต้องใช้ราคา Utility Green Tariff (“UGT1”) ตามประกาศของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 มีผลให้มูลค่าของใบรับรองพลังงานหมุนเวียน ต่ำกว่าราคาตามบัญชีอย่างมีนัยสำคัญ โดย ณ สิ้นปี 2567 มีใบรับรองพลังงานหมุนเวียน ซึ่งรวมอยู่ในสินค้าคงเหลือในงบการเงินรวมของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งสิ้น 1,065.67 ล้านบาท

และกลุ่มบริษัทฯ ได้ชำระเงินล่วงหน้าสำหรับใบรับรองพลังงานหมุนเวียนในอนาคตตามสัญญา จึงต้องบันทึกค่าเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุน และบันทึกค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 1,069.44 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมผลกระทบจากรายการพิเศษที่ไม่ใช่รายการที่เกิดจากผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัทฯ จะยังมีกำไรในปี 2567 ทั้งสิ้น 0.60 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความมั่นใจว่า เวฟ บีซีจี เป็นบริษัทย่อยที่มีศักยภาพเติบโตสอดรับกับเมกะเทรนด์โลก โดยเฉพาะใบรับรองพลังงานหมุนเวียน และการพัฒนาคาร์บอนเครดิตในรูปแบบต่างๆ หลังจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้เริ่มออกกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจต้องปรับตัวและปฏิบัติตาม
มากขึ้นในอนาคตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ประกอบกับประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยวางเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2065 จึงคาดการณ์ว่าความต้องการใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) ในปี 2573 มากถึง 70,101,000 RECs (อ้างอิงบริษัท บูโร เวอริทัส (ประเทศไทย) จำกัด) และราคาใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs )ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่า 11-60% ต่อปี ภายในปี 2567 – 2573