อาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือ คือ บริเวณเหนือสุดของแกนโลกด้านเหนือ คำว่า “อาร์กติก” มาจากภาษากรีกโบราณ ซึ่งมีความหมายว่า “หมี” บริเวณนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นมหาสมุทรที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งที่หนาเฉลี่ยประมาณ 4-5 เมตร และล้อมรอบไปด้วยประเทศต่างๆ เช่น แคนาดา กรีนแลนด์ รัสเซีย สหรัฐอเมริกา (อลาสก้า) ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์
บริเวณอาร์กติกจะเป็นพื้นที่ที่แตกต่างจากที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนที่อาศัยอยู่ในอาร์กติกจะมีการปรับตัวและใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บและธรรมชาติอันโหดร้าย อุณหภูมิต่ำสุดที่วัดได้คือ -68 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ ในปัจจุบัน อาร์กติกยังมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา เช่น อุณหภูมิบนโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ความอ่อนไหวได้ง่ายนี้ทำให้อาร์กติกถูกมองเสมือนเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าให้แก่โลกของเรา
คนส่วนใหญ่มักคิดว่า การที่ “อาร์กติก” เป็นแผ่นดินที่หนาวเหน็บและห่างไกลจากแผ่นดินอื่น จึงเป็นบริเวณที่ไม่น่าจะมีความหมายต่อมนุษย์มากนัก แต่แท้จริงแล้ว บริเวณนี้มีความเชื่อมโยงกับมนุษย์เป็นอย่างมาก เป็นพื้นที่อ่อนไหวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมโลก
ปัจจุบัน ถึงแม้ว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” จะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่คงไม่มีใครในปัจจุบันที่จะปฏิเสธว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นผลมาจากกิจกรรมของพวกเราที่ “เร่ง” ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วยิ่งขึ้น อาร์กติกเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจสอบปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกเนื่องจากในปัจจุบัน บริเวณนี้กลายเป็น “ภาชนะรองรับของเสีย” เป็นศูนย์รวมของผลลัพธ์จากกิจกรรมต่างๆ บนโลก โดยเฉพาะก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศ บริเวณนี้จึงเป็น “ปราการด่านแรก” ของโลกที่จะเป็นเสมือนระบบเตือนภัยล่วงหน้าให้แก่โลกของเราได้
ปัจจุบัน บริเวณอาร์กติกได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง ทำให้น้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว การละลายของน้ำแข็งนอกจากจะมีผลกระทบต่อสัตว์และพืชต่างๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณอาร์กติกแล้ว การละลายของน้ำแข็งในปริมาณที่มากยังทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอีกด้วย นักวิทยาศาสตร์ได้ทำนายไว้ว่า ถ้าในอนาคต น้ำแข็งที่อาร์กติกหรือขั้วโลกเหนือละลายหมดแล้ว จะสามารถทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นได้ถึง 5 เมตร
นับเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นอีกก้าวที่สำคัญของพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ของเมืองไทย เพราะวันนี้ 2 นักวิจัยไทย ได้ร่วมโครงการสำรวจครั้งสำคัญ ภายใต้โครงการสำรวจขั้วโลกเหนือของประเทศไทยภายใต้โครงการวิจัยขั้วโลกตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี (ศึกษาผลของภาวะโลกร้อน และ ขยะพลาสติกขนาดเล็กที่มีต่อสัตว์ทะเลหน้าดินที่ทะเลอาร์กติก)
เมื่อไม่นานมานี้ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วย สถานเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันจัดงานแถลงข่าว การสำรวจวิจัยขั้วโลกเหนือครั้งแรกของประเทศไทย
2 นักวิจัยไทยที่เข้าร่วมการสำรวจในครั้งนี้ ประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร. วรณพ วิยกาญจน์ และ รองศาสตราจารย์ ดร. สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยเป้าหมายหนึ่งของนักวิจัยคือการดำน้ำสำรวจใต้ทะเลอาร์กติก และนับเป็นนักวิจัย 2 คนแรกของทวีปเอเชียที่จะปฏิบัติภาระกิจดำน้ำเพื่องานวิจัยในทะเลขั้วโลกเหนือของนอร์เวย์
ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เคยเสด็จเยือนบริเวณอาร์กติก ในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2556 หลังจากนั้น ทรงพระราชดำริให้นักวิทยาศาสตร์ไทยขยายความร่วมมือในการศึกษาวิจัยขั้วโลก จากเขตแอนตาร์กติก (ขั้วโลกใต้) เข้าสู่เขตอาร์กติก (ขั้วโลกเหนือ) ภายใต้โครงการขั้วโลกตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อยกระดับความก้าวหน้าของการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ขั้วโลกให้สูงขึ้นและทัดเทียมนานาประเทศ พร้อมเปิดโอกาสการส่งนักเรียนทุนรัฐบาลไปศึกษาเล่าเรียนในศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการเสริมสร้างความยั่งยืนในงานศึกษาวิจัยขั้วโลกของประเทศ
คุณเวการ์ด โหล์เมลีด รักษาการแทนเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงการลงนามข้อตกลงความร่วมมือในการศึกษาวิจัยระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ University Centre in Svalbard (UNIS) ณ วังสระปทุม เมื่อวันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2558 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือในการศึกษาวิจัยระหว่างประเทศไทยและนอร์เวย์ในเขตขั้วโลกเหนือ
คุณกรรณิการ์ เฉิน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวว่าการสนับสนุนของ อพวช. จะเป็นการสร้างความตระหนัก จิตสำนึก และความตื่นตัว ในผลของภาวะโลกร้อนและขยะทะเลที่มีต่อมหาสมุทรอาร์กติกและขั้วโลกเหนือให้กับประชาชนและเยาวชนไทย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รองอธิการอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึง ความต่อเนื่องและการต่อยอดความสำคัญของงานวิจัยสู่สังคม ในบทบาทของจุฬาฯ ในฐานะมหาวิทยาลัยแกนนำที่มีบุคลากรผ่านประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัยในเขตขั้วโลกเป็นจำนวนมากที่สุด และมีเครือข่ายต่างประเทศที่ร่วมทำการศึกษาวิจัยขั้วโลกมาก การเดินทางไปศึกษาในครั้งนี้ของนักวิจัยและนิสิตปริญญาเอกจากจุฬาฯ ไม่เพียงแต่จะยกระดับการวิจัยและผลงานวิจัยในด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยให้สูงเท่าเทียมกับนานาชาติ แต่ยังเป็นการสร้างความตระหนัก และจิตสำนึกให้เยาวชนและคนทั่วไปหันมาสนใจและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทะเลบนโลกใบนี้
รองศาสตราจารย์ ดร. วรณพ วิยกาญจน์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “อาร์กติก” ถึงแม้จะเป็นแผ่นดินที่หนาวเหน็บ และห่างไกลจากแผ่นดินอื่น แต่แท้จริงแล้ว บริเวณนี้มีความเชื่อมโยงกับมนุษย์เป็นอย่างมาก เป็นพื้นที่อ่อนไหวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมโลก อาร์กติกเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจสอบปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก เนื่องจากในปัจจุบัน บริเวณนี้กลายเป็น “ภาชนะรองรับของเสีย” เป็นศูนย์รวมของผลลัพธ์จากกิจกรรมต่างๆ บนโลก โดยเฉพาะก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศ และขยะทะเล บริเวณนี้จึงเป็น “ปราการด่านแรก” ของโลกที่จะเป็นเสมือนระบบเตือนภัยล่วงหน้าให้แก่โลกของเราได้
รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเดินทางไปศึกษาวิจัยในครั้งนี้ จะเป็นการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ ผลกระทบของภาวะโลกร้อนและขยะพลาสติกขนาดเล็กที่มีต่อสัตว์ทะเลหน้าดินที่ขั้วโลกเหนือ โดยจะมีการปฎิบัติการดำน้ำสำรวจวิจัยใต้ทะเลครั้งแรกของเอเชีย นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่จะมีนักวิจัยที่ได้พิชิตการดำน้ำทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้อีกด้วย
ทั้งนี้ ระยะเวลาการสำรวจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ วันที่ 24 กรกฎาคม 2561 ถึง 12 สิงหาคม 2561 โดยเป็นการปฏิบัติงานบนเรือบริเวณทะเลชายฝั่งหมู่เกาะสวาลบาร์ด มหาสมุทรอาร์กติก ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ถึง วันที่ 7 สิงหาคม 2561
การเข้ามามีส่วนร่วมในการหาคำตอบต่างๆ ของนักวิทยาศาสตร์ในบริเวณนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การตอบคำถามเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้น หรือทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เกิดความเข้าใจในระบบของโลกได้ดียิ่งขึ้น และจะนำไปสู่การคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต อันเป็นผลมาจากพฤติกรรมของมนุษย์เราในปัจจุบัน