ผ่ายุทธศาสตร์ไทยเบฟ กวาดตลาดอาเซียนก้าวสู่ผู้นำธุรกิจระดับสากล

120

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดแถลงข่าวผลการดำเนินงาน และทิศทางธุรกิจที่เติบโต มั่นคง ยั่งยืน พร้อมโชว์ศักยภาพความแข็งแกร่ง และการลงทุน ขยายเครือข่ายเชื่อมโยงทุกมิติ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน และการก้าวสู่ผู้นำระดับโลก

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจเบียร์ เผยว่า “ปีที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งปีของความภาคภูมิใจ ที่ไทยเบฟได้รวมธุรกิจเบียร์อันดับหนึ่งของประเทศเวียดนาม และสุราอันดับหนึ่งของประเทศเมียนมา เข้ามาอยู่ในกลุ่มบริษัทของเรา ทั้ง 2 ประเทศเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดภูมิภาคหนึ่งของโลก เข้ามาอยู่ในกลุ่มบริษัทของเรา

ผลงานในปีที่ผ่านมาเป็นการตอกย้ำความสำเร็จอันเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ 2020 ซึ่งเราได้ทุ่มเททรัพยากรในการพัฒนาธุรกิจด้วยกลยุทธ์หลัก 5 ด้านของเราที่กำหนดไว้ใน วิสัยทัศน์ 2020 ซึ่งเป็นแผนดำเนินการระยะ 6 ปี ที่ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558

โดยกลยุทธ์ทั้ง  5 ประกอบด้วย Growth คือการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ Diversity ความหลากหลายของสินค้าและตลาด Brand การมีตราสินค้าที่โดนใจ Reach การกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง Professionalism ความเป็นมืออาชีพด้วยการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร และผลักดันศักยภาพของพวกเราทุกคน เรามั่นใจในความพร้อมอย่างครบถ้วนทั้งเรื่องคน เรื่องทุน และสินค้า

ผมเชื่อมั่นว่าในปีหน้าที่จะถึงนี้ ไทยเบฟมีความพร้อมที่จะทุ่มเทศักยภาพที่มีอยู่ในทุกด้าน ในการสร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่อง อันจะเห็นได้ว่าเครือข่ายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนของไทยเบฟ สามารถรวมพลังเพื่อสร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงผู้บริโภคของไทยเบฟทุกท่าน ในการขยายธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟ เราก้าวหน้าไปอย่างรอบคอบระมัดระวัง ทำให้เราได้รับรางวัลความยั่งยืน DJSI World ซึ่งวัดความยั่งยืน 3 ด้าน คือความยั่งยืนด้านเศรษฐกิจ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนด้านสังคม โดยปีนี้ ไทยเบฟ ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และกลุ่มดัชนี   DJSI Emerging Markets หรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เป็นปีที่ 3  และยังตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้วยการถูกคัดเลือกขึ้นมาเป็นที่ 1 ของโลก ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของไทยเบฟ และสะท้อนให้เห็นว่าไทยเบฟ มุ่งมั่นเพื่อการบรรลุวิสัยทัศน์ และพันธกิจขององค์กรที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำทางด้านเครื่องดื่มครบวงจรของอาเซียน  พร้อมจะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ที่ใส่ใจด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับโลก ไทยเบฟ ได้ก้าวเข้าสู่เป้าหมายความสำเร็จที่ตั้งไว้ในวิสัยทัศน์ 2020 อย่างชัดเจน และพร้อมที่จะเดินหน้ารุกเต็มกำลัง เพื่อครองความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรของภูมิภาคอาเซียนได้อย่างยั่งยืน”

นายประภากร ทองเทพไพโรจน์  รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจำหน่าย  กล่าวว่า  “ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจสุราในประเทศไทยถือว่าสามารถทําได้ดีเมื่อเทียบกับในสถานการณ์ปัจจุบัน และเรายังสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ได้ดีอีกด้วย ในขณะเดียวกันเรามีการพัฒนาสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดสุราพร้อมดื่ม สําหรับผู้บริโภคกลุ่มใหม่ เช่น สตาร์ คูลเลอร์ และคูลอฟ แมกซ์ เซเว่น นอกจากนี้เราได้มีการส่งออกสุรารวงข้าวซิลเวอร์  ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ ไปยังประเทศเวียดนาม และเกาหลีใต้ ถือเป็นการยกระดับสินค้าตรารวงข้าว ซึ่งเป็นสุรายี่ห้อแรกของประเทศไทยเข้าสู่ตลาดต่างประเทศอีกด้วย โดยในส่วนของตลาดต่างประเทศ เราได้มีการเข้าลงทุน 75% ในกลุ่ม  Grand Royal Group ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสุรา Grand Royal Whisky ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของประเทศเมียนมา และล่าสุดเรายังได้เข้าร่วมลงทุน 51% ในกลุ่ม Asiaeuro International Beverage   ซึ่งเป็นบริษัทจัดจําหน่ายสินค้าเครื่องดื่มต่าง ๆ โดยเฉพาะสุราพรีเมียมจากประเทศสก็อตแลนด์ และฝรั่งเศสอีกด้วย”

มร.เอ็ดมอนด์ เนียว คิมซูน รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารการลงทุนตราสินค้า ซึ่งดูแลกลุ่มธุรกิจเบียร์ในปีที่ผ่านมากล่าวว่า “ภารกิจของกลุ่มธุรกิจเบียร์ยังดำเนินการสอดคล้องภายใต้ Vision 2020 ในด้านของแบรนด์ช้างเอง เราได้เพิ่มความแข็งแกร่งในการสร้างแบรนด์มากขึ้น ผ่านปรัชญาที่ว่าด้วยความ “ละเมียด” ที่เราใส่ใจในรายละเอียดทุก ๆ ขั้นตอนการผลิต กลั่นกรองเอาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค ทั้งด้านของตัวผลิตภัณฑ์และกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย เพื่อที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ เรายังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบรับกับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกปี ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เราเปิดตัวในปีที่ผ่านมาคือ แทปเปอร์ (Tapper) เบียร์แอลกอฮอล์สูง ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

และเรากำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง เฟเดอร์บรอย ไวส์เบียร์ (Federbräu Weissbier)พรีเมี่ยมสไตล์เยอรมัน รวมถึงกิจกรรมการตลาดที่จะมาสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคของเราในเร็วๆ นี้ ซึ่งถือว่าธุรกิจเบียร์ของเราขยายตัวได้อย่างรวดเร็วมาก โดยในปีหน้านี้ผมยังได้รับการปรับตำแหน่งให้มาช่วยดูแลเรื่องการลงทุนตราสินค้าต่าง ๆ ของไทยเบฟ โดยมี คุณฐาปน ที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มธุรกิจเบียร์ด้วยตนเอง และคุณโฆษิต สุขสิงห์ จะเป็นผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจเบียร์ประเทศไทย”

มร.เบนเนท เนียว กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไซ่ง่อนเบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ จ๊อยซ์สต๊อก คอร์ปอเรชั่น (ซาเบโก้) กล่าวว่า “ปี 2561  เป็นอีก 1 ปีที่สำคัญในประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจของซาเบโก้ เพราะการดำเนินการรวมกลุ่มธุรกิจกับไทยเบฟกรุ๊ปประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ทำให้กลุ่มธุรกิจเบียร์ซาเบโก้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว และวัฒนธรรมการดื่มเบียร์ที่แข็งแรง พร้อมสนับสนุนในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ 2020 ของไทยเบฟ เราเชื่อว่าธุรกิจของเราจะยิ่งแข็งแกร่ง เพราะมีตราสินค้าที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่าง ไซง่อนเบียร์ อีกทั้งเรายังมีทีมกรรมการ และผู้บริหารที่เต็มไปด้วยความสามารถพร้อมที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาและขยายการดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็วต่อไป”

มร. ลี เม็ง ตัท ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และกรรมการผู้อำนวยการธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (เอฟแอนด์เอ็น)  พร้อมด้วย มร. เลสเตอร์ เต็ก ชวน ตัน  ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮออล์ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า “แม้ปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีการแข่งขันสูง แต่กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเบฟเวอเรจยังสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีในตลาดที่ดำเนินธุรกิจ และเพื่อบรรลุเป้าหมายวิสัยทัศน์ 2020 เราได้เน้นการดำเนินงานใน 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1) ขับเคลื่อนตลาดด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำและสร้างความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ในเครือ โดยมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกปีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน 2) ขยายช่องทางการดำเนินธุรกิจและผลักดันสินค้าออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสให้กับกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเบฟเวอเรจในภาพรวม

นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล  ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหารประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า “กลุ่มธุรกิจอาหารเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มบริษัทไทยเบฟ  แม้ในปีที่ผ่านมา ต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งด้านการแข่งขันในตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่เราก็สามารถขับเคลื่อนธุรกิจอาหารให้เดินหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง ทั้งในกลุ่มโออิชิ ที่สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำด้านธุรกิจอาหารญี่ปุ่นไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และยังเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน เรายังได้ทำการซื้อกิจการร้านเคเอฟซี ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านอาหารที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในประเทศไทย จำนวน 252 สาขา ในนามบริษัท The QSR of Asia รวมทั้งการร่วมลงทุน 76% ในกลุ่มร้านอาหารไทย Spice of Asia ภายใต้การบริหารที่เน้นประสิทธิภาพและกลยุทธ์การสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและแตกต่าง จึงส่งผลให้เราเติบโตแบบก้าวกระโดด ขึ้นแท่นหนึ่งในผู้นำธุรกิจอาหารในประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่การเติบโตตามเป้าหมายวิสัยทัศน์ 2020”

นายโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง ให้ข้อมูลว่า “ในปีที่ผ่านมาของกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง โครงการพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าและการบริหารจัดการทางด้านซัพพลายเชนของบริษัทภายใต้วิสัยทัศน์ 2020 มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากในปี 2561 โดยบริษัทสามารถเปิดศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาคตามตำแหน่งยุทธศาสตร์ได้ตามแผนงาน พร้อมทั้ง  ยังได้มีการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความชำนาญทางบริหารจัดการทางด้าน cold chain ในระดับโลก ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายการกระจายสินค้าทางด้าน cold chain เพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอาหารของบริษัท นอกจากนี้ ยังสามารถนำเทคโนโลยีที่บริษัทได้ดำเนินการพัฒนาในช่วงที่ผ่านมา มาขยายผลและต่อยอดให้กับพันธมิตรและคู่ค้าของบริษัทเพื่อประโยชน์ที่สูงสุด โดยมีโครงการ digital transformation เป็นแกนกลางในการผลักดันศักยภาพของพนักงานและคู่ค้าให้เข้าถึงและสามารถที่จะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการบริหารจัดการโลจิสติกอย่างครบวงจร ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค และในปีหน้านี้ผมได้รับโอกาสที่ดีกับความรับผิดชอบใหม่เพิ่มเติม ที่จะมาดูแลธุรกิจเบียร์ในประเทศไทย เป็นหน้าที่เพิ่มเติมที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก”

ดร. เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล ให้ข้อมูลว่า “จากการเดินทางสู่วิสัยทัศน์ 2020 ไทยเบฟมุ่งหวังที่จะเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของอาเซียน ด้วยคำมั่นสัญญาที่ให้กับพนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องคือ โอกาสที่ไร้ขีดจำกัด หรือ Limitless Opportunities ทั้งด้านการเติบโตในสายอาชีพ การสรรสร้างความสัมพันธ์ และการสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อสังคม หนึ่งปีที่ผ่านมา จำนวนของพนักงานภายใต้กลุ่มไทยเบฟเพิ่มจากประมาณ 43,000 คน เป็นประมาณ 59,000 คน จากกิจการที่ขยายทั้งในไทย เวียดนาม และเมียนมา  นอกจากนี้ไทยเบฟได้รับรางวัลสำคัญในเวทีนานาชาติ Asia Best Employer Brand Awards 2018 ที่สิงค์โปร์ 3 รางวัล คือ Best Employer Brand Dream Employer of the Year และ Award for Talent Management ซึ่งสอดคล้องกับการได้ 100 คะแนนเต็มด้าน Human Capital Development ในการประเมิน DJSI Sustainability Index 2018 ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยการผสานพลังอย่างทุ่มเท ของทีมงาน ผู้บริหาร และพนักงาน ไทยเบฟจะเดินหน้าต่อไป เพื่อสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ของคน ให้เป็นบริษัทที่คนไทยและอาเซียนภาคภูมิใจครับ”

ทั้งหมดนี้ คือศักยภาพความพร้อมสูงสุดของกลุ่มธุรกิจไทยเบฟ ที่จะขับเคลื่อนให้บรรลุไปตามเป้าหมายในช่วงโค้งสุดท้ายของ 2 ปี หลัง เพื่อเตรียมก้าวข้าม Vision 2020 สู่ผู้นำแห่งธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรระดับโลกต่อไป