หลายคนยังเข้าใจผิดๆกับโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ว่าเป็นโรคติดต่อ เนื่องจากผู้ป่วยมีผื่นแดง นูนกระจายอยู่ตามร่างกาย จึงได้มีแสดงความรังเกียจออกมา จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย ทำให้ไม่กล้าที่จะทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับคนในสังคม แต่ในความเป็นจริงนั้น โรคสะเก็ดเงินไม่ได้เป็นโรคติดต่อ เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม โดยผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้อย่างปกติ
ศุภชัย มโนการ อายุ 41 ปี ทำงานอยู่กรมชลประทาน และสิรินธร จิระกูล อายุ 26 ปี เป็นนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งคู่เป็นโรคสะเก็ดเงิน ต้องต่อสู้กับโรคนี้มาเป็นเวลานานด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
สิรินทร เล่าให้ฟังว่า อาการของโรคเริ่มต้นด้วยมีจุดแดงๆบนผิวหนัง เธอจึงได้ไปพบแพทย์เพื่อรักษา แต่ไม่ได้รักษาอย่างต่อเนื่อง จากนั้น อาการก็กำเริบมากขึ้น จากเป็นจุดแดงๆ ก็พัฒนาเป็นผื่น จากปลายเท้าถึงต้นขาด้านบน จนถึงใบหน้า หนักที่สุดคือ ผื่นได้กลายเป็นปื้นแดงบนขาทั้งสองข้าง พอเริ่มแห้งและเห็นได้ชัดคือ บางมาก ขณะนอน นอนไม่ค่อยได้ ขยับตัวไม่ได้ บางทีมีเลือดซึมติดผ้าห่ม หรือแม้แต่ระหว่างรับประทานอาหารก็ไม่สามารถนั่งเก้าอี้ได้
ด้าน ศุภชัย บอกว่า ก่อนหน้านี้ เขาพบแพทย์เพื่อรักษามาถึง 6 คน เนื่องจากแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้และอาการของโรคก็ไม่ดีขึ้น เขามีอาการปวดข้อมากและต้องพึ่งยาแก้ปวดอยู่เป็นประจำ โดยโรคนี้จะออกอาการช่วงกลางคืน เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวก ไม่ว่าจะก้าวเดิน ขึ้นบันได หรือขึ้นเตียงนอน ขณะนอนไม่สามารถนอนหลับได้ ทรมาน ต้องนอนคว่ำ ขณะที่กลางวันไม่เป็นอะไรเลย
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งมีข้อมูลพบว่าหากมีทั้งพ่อและแม่เป็นโรคสะเก็ดเงิน ลูกมีโอกาสที่จะเป็นโรคมากกว่าคนทั่วไปสูงถึง 41% โดยโรคสะเก็ดเงินจะมีอาการที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ได้แก่ ผื่นแดง นูน ขอบเขตชัดเจน จะมีขุยสีขาวหรือเกล็ดสีเงินปกคลุมอยู่ บางรายเป็นตุ่มหนอง กระจายทั่วร่างกาย ใบหน้า หนังศีรษะ และมีเล็บผิดปกติร่วมด้วย ซึ่งผื่นอาจมีอาการคันและสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ส่งผลให้ผู้ป่วยขาดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต จนหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม เพราะกังวลว่าคนรอบข้างจะรังเกียจ นอกจากนี้ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการข้ออักเสบ ผิดรูปร่วมด้วย และอาจพบร่วมกับโรคอื่นๆ ได้ด้วย เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน เบาหวาน ไขมันสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ สถาบันโรคผิวหนัง จึงได้ประกาศเปิดตัวแคมเปญ “หยุดตีตรา ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน” ขึ้น ซึ่งตรงกับ “วันสะเก็ดเงินโลก” ในวันที่ 29 ตุลาคมของทุกปี โดยองค์การอนามัยโลกได้กำหนดวันนี้ขึ้น เพื่อกระตุ้นให้คนทั่วโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคสะเก็ดเงิน ที่อาจไม่ใช่โรคที่ไกลตัวอีกต่อไป ดังนั้น สถาบันฯ จึงเห็นถึงโอกาสในการริเริ่มแคมเปญ “หยุดตีตรา ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน” เพื่อกระตุ้นสังคมไทยให้มีความรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคสะเก็ดเงินมากขึ้นผ่านองค์ความรู้จาก E-Book สำหรับแพทย์และประชาชนทั่วไป และวิดีโอชุด “ผมเป็นโรคสะเก็ดเงินครับ” ที่จะเผยถึงความจริงว่าโรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ ทุกคนสามารถสัมผัสและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ป่วยได้ตามปกติ
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศหนึ่งที่ยังมีกลุ่มคนที่มีความเข้าใจผิดว่า โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ จึงมักมีพฤติกรรมแสดงความรังเกียจผู้ป่วยให้ได้พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นการเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่คนในสังคมผ่านแคมเปญ “หยุดตีตรา ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน” จึงนับเป็นวาระสำคัญ และเป็นโอกาสอันดีต่อการเริ่มต้นสร้างเสริมความเข้าใจในโรคสะเก็ดเงินที่ถูกต้องให้แก่ทุกคนในสังคมไทย หากทุกคนมีความรู้ที่ถูกต้องแล้วอาจไม่เพียงแต่ช่วยสังเกตอาการตนเองหรือคนใกล้ตัวเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างไร้ความกังวล และถือเป็นกำลังใจที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินอีกด้วย อีกทั้งในปัจจุบันภาครัฐยังได้ให้ความสำคัญในการรักษาและดูแลผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินมาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจึงสามารถเข้าถึงการรักษาตามสิทธิ์การรักษาของตนได้ตามสถานพยาบาลของรัฐทั่วประเทศไทย เพื่อให้มีอาการที่ดีขึ้นจนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง บอกว่า การรักษาโรคสะเก็ดเงินในปัจจุบันแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ประกอบด้วย 4 วิธี ได้แก่ การรักษาโดยการใช้ยาทาภายนอก การฉายแสง การใช้ยารับประทาน และยาฉีด โดยแพทย์ผู้ให้การรักษาจะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสมของอาการผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากนี้การดูแลตนเองเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน ก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติและช่วยไม่ให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1. การพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากภาวะนอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอจะมีส่วนสัมพันธ์กับการกำเริบของโรคสะเก็ดเงินได้มากถึง 30-40%
2. การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต และ ยารักษาโรคซึมเศร้า ซึ่งมีส่วนทำให้อาการของโรคสะเก็ดเงินกำเริบได้ ผู้ป่วยจึงควรแจ้งแพทย์ผู้รักษาให้ทราบทันทีหากมีการใช้ยาดังกล่าวร่วมด้วย
3. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะแอลกอฮอล์ทำให้โรคกำเริบได้อย่างง่ายดาย
4. หลีกเลี่ยงแสงแดดที่ร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหนังอักเสบมากขึ้น จนมีผื่นสะเก็ดเงินเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมี การระคายเคืองต่างๆ ในบริเวณร่างกายจากการกด รัด เสียดสี เพราะสิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดอาการผื่นคัน และมีอาการของโรคสะเก็ดเงินกำเริบในเฉพาะส่วนได้
ท้ายสุด สิรินทร บอกว่า อยากให้สังคมเข้าใจผู้ป่วย อย่ารังเกียจและให้กำลังใจ เพื่อให้พวกเขามีพลังต่อสู้กับโรคร้ายให้หาย ขณะที่ผู้ป่วยเองต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนไหวกับสายตาที่แสดงถึงความรังเกียจ ผู้ป่วยต้องตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง อย่าให้โรคนี้มาขัดขวางการสร้างคุณค่าในตัวเรา ดังนั้น จึงไม่ต้องไปสนใจความคิดของคนอื่น ต้องทำให้ชีวิตเรามีความสุขและกล้าที่จะใช้ชีวิตในสังคม