ทีมวิจัยคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยความสำเร็จผลงานวิจัย “น้ำผลมะม่วงหิมพานต์”มีประโยชน์ต่อสมองและเพิ่มสมรรถนะการทำงานของกล้ามเนื้อ ปลื้มเป็นงานวิจัยครั้งแรกในประเทศไทย หวังต่อยอดพัฒนาไปสู่กลุ่มธุรกิจอาหารบำบัด หรือแพทย์ทางเลือกพร้อมสานต่อโปรเจ็กต์“เพิ่มมูลค่ามะม่วงพิมพานต์” ทุน สวก.และเอกชน ร่วมสนับสนุนลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
รศ.ดร.จินตนาภรณ์ วัฒนธร รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพัฒนาศักยภาพมนุษย์และการสร้างเสริมสุขภาพ ภาควิชาสรีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่าแนวคิดที่มาก่อนที่จะเริ่มมาทำงานวิจัย “น้ำผลมะม่วงหิมพานต์” นั้น มีแรงบันดาลใจมาจากเป็นคนที่สนใจในเรื่องของอาหารบำบัด หรือเรื่องของแพทย์ทางเลือก จึงเกิดไอเดียว่าพวกผักผลไม้มีโอกาสที่จะเอามาใช้ประโยชน์ในเรื่องของอาหารบำบัดได้ เพราะเป็นเหมือนสมุนไพรอยู่แล้ว มีสารที่มีประโยชน์อยู่เยอะ วันหนึ่งได้ดื่มน้ำมะม่วงหิมพานต์รู้สึกแปลกไม่เหมือนเครื่องดื่มอื่นน่าสนใจดี จึงมาค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่ามะม่วงหิมพานต์สรรพคุณในการบำรุงกำลัง และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจึงเป็นพืชที่มีศักยภาพนอกจากนั้นจะเห็นว่าปัจจุบันมะม่วงหิมพานต์เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่สำคัญของประเทศไทย ดังนั้นการพัฒนาต่อยอดเครื่องดื่มมะม่วงหิมพานต์เป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพจะสามารถช่วยสร้างประโยชน์ได้ครบทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ภาคเกษตร และอุตสาหกรรม สร้างประโยชน์ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค นอกจากจะมีศักยภาพในการที่จะวิจัยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพแล้วเรามองตั้งแต่กระบวนการวิจัยจนกระทั่งถึงผู้บริโภค
ปัจจุบันสังคมไทยเข้าสู่ช่วงสังคมผู้สูงอายุ เราจึงเล็งเห็นว่า น้ำผลมะม่วงหิมพานต์ มีประโยชน์ต่อกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะพบปัญหาเรื่องสมองกับกล้ามเนื้อ ซึ่งที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ใช้ระยะเวลาประมาณ5 ปี ทำการวิจัยพบว่าในน้ำมะม่วงหิมพานต์มีสารพฤกษเคมีที่เป็นประโยชน์มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มสารสื่อประสาทที่สำคัญหลายอย่างมะม่วงหิมพานต์ไม่เพียงถูกนำมาใช้เป็นอาหารแต่ในประเทศแถบลาตินอเมริกามีการนำมาใช้เป็นยาด้วย เช่น บำรุงกำลัง รักษาแผล จุดนี้เองจึงเป็นที่มาและสนใจที่จะทำงานวิจั ย“น้ำผลมะม่วงหิมพานต์” ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์โดยใช้เป็นอาหารสร้างเสริมสุขภาพไม่ใช่แค่เพียงเครื่องดื่มธรรมดา
“ในผู้สูงอายุนั้นจะมีการเสื่อมของระบบต่างๆรวมทั้งมีการตายของเซลล์ประสาทในสมองและมีสลายของกล้ามเนื้อทำให้นอกจากจะหลงๆลืมยังหกล้มง่าย ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ล้มง่ายก็มาจากปัญหาของกล้ามเนื้อเราคิดว่าสมองเป็นตัวที่น่าสนใจที่สุด เพราะทุกคนอยากมีสมองดี ฉะนั้นเวลาเราทดสอบก็จะทดสอบที่เกี่ยวข้องกับสมองก่อนเป็นอันดับแรก มะม่วงหิมพานต์สามารถทำให้สื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบของประสาทโดยเฉพาะระบบการเรียนรู้และความจำมันทำงานได้ดี และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีด้วย เพราะเราพบในผู้สูงอายุมีอนุมูลอิสระเยอะ และการทำงานของระบบต่างๆ ก็เสื่อมลงด้วยและที่สำคัญผลจากการทดลองที่หนูถีบจักรยังพบอีกว่าสารสกัดผลมะม่วงหิมพานต์ สามารถเพิ่มขนาดของใยกล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อ นับเป็นความสำเร็จที่เราได้ศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากมะม่วงหิมพานต์ในการเพิ่มความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อและสมอง มีการผลิตออกมาเป็นสูตรที่เราเห็นแล้วว่ามันได้ผล และเราพัฒนาตรงนี้ได้ดีค่อนข้างมากด้วย”
รศ.ดร.จินตนาภรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับมหาวิทยาลัยขอนแก่น เราเป็นกลุ่มแรกเลยที่จะเริ่มทำในเรื่องผลของอาหารสุขภาพโดยเฉพาะมะม่วงหิมพานต์ต่อของสมอง โดยทำแบบบูรณาการ มีการร่วมงานภาควิชาจิตเวช ภาควิชาอายุรศาสตร์ ฯลฯตลอดจนผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ที่ผ่านมาทางคณะแพทย์ศาสตร์ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับอาหารบำบัดอย่างต่อเนื่องแล้วก็อยากจะพัฒนางานวิจัยมะม่วงหิมพานต์ตรงนี้ขึ้นมา อีกทั้งนโยบายของภาครัฐ ที่ได้มีการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดนี้ซึ่งนอกจากทางภาคใต้ที่มีการปลูกมาดั้งเดิมนั้นปัจจุบันก็ยังได้ขยายพันธ์ไปทั่วทุกภูมิภาค เช่น ภาคอีสานมะม่วงหิมพานต์พันธุ์ศรีษะเกษส่วนภาคเหนือสายพันธุ์อุตรดิตถ์เป็นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยที่ยังปลูกกันไม่เยอะจนล้นตลาด ในขณะที่งานวิจัยของเราได้มองประโยชน์ที่เกิดในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่วัตถุดิบด้านการเกษตร ซึ่งเป็นจุดเริ่มที่จะการสนับสนุนวัตถุดิบให้ผู้ประกอบการ หรือนำผลสำเร็จจากงานวิจัยไปใช้ประโยชน์พัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ ก่อให้เกิดมูลค่าทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม นอกจากน้ำผลมะม่วงหิมพานต์ ที่ประสบความสำเร็จและเป็นความภาคภูมิใจของคณะทีมวิจัยนั้น ล่าสุดโดยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)หรือ สวก และบริษัท ไอยราแพลนเน็ต จำกัดบริษัทเอกชนผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจาก “น้ำผลมะม่วงหิมพานต์” ได้ลิขสิทธิ์นำมาจำหน่ายภายใต้แบรนด์ ”ไอยรา”ยังให้การสนับสนุนในเรื่องงบประมาณพัฒนางานวิจัยต่อเนื่องในส่วนของ “การเพิ่มมูลค่ามะม่วงหิมพานต์ในรูปอาหารสุขภาพ”ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนางานวิจัย คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จประมาณ 3 ปี