EPG กางแผนธุรกิจปี 62/63 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10%

9

EPG กางแผนธุรกิจปี 62/63 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% มุ่งเน้นกลยุทธ์ New S-Curve ต่อเนื่องทุกกลุ่มธุรกิจ บริหารจัดการต้นทุน เพิ่มมาร์จิ้นมุ่งขยายตลาดครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั่วโลก

ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์น โพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยแผนการดำเนินงานในปี 62/63 (เม.ย.62-มี.ค.63) ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% โดยนำกลยุทธ์หลักคือ “The New S-Curve” มาใช้อย่างต่อเนื่อง สำหรับกลยุทธ์ด้านการดำเนินงานจะพัฒนาสินค้านวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสินค้าเพื่อลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และ ผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทันที / ดำเนินการบริหารจัดการต้นทุนโดยจัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพมีราคาเหมาะสมจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก และ สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์สินค้าพร้อมกับส่งเสริมงานด้านการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึง การสร้าง“คนนวัตกรรม”พร้อมส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง สำหรับกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตนั้น ยังคงเน้นการสร้างเครือข่ายการค้าของกลุ่มบริษัทในระดับโลก ได้แก่ การส่งออกสินค้า / การจำหน่ายใบอนุญาต (licensing) / การสร้างแฟรนไชน์ / การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ / การร่วมทุน / การสร้างฐานการผลิตในต่างประเทศ และ การเข้าซื้อกิจการ เป็นต้น
สำหรับทิศทางการดำเนินงานของ 3 ธุรกิจหลัก มีดังนี้

ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX การลงทุนขยายโรงงานผลิตในประเทศไทย คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ประมาณไตรมาสที่ 3 ปี 62/63 โดยจะทยอยเพิ่มกำลังการผลิตในเฟสแรก 2,000 ตัน/ปี เพื่อผลิตสินค้าประเภท ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา (AERO-ROOF) และ กลุ่มฉนวนยางท่อ โดยจะสามารถขยายตลาดไปทั่วทวีปเอเชียทุกภูมิภาค สำหรับฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาจะทยอยลงทุนในระบบการผลิตแบบออโตเมชั่น และ มีการปรับปรุงระบบการขนส่งให้สะดวกรวดเร็วกว่าเดิม โดยยอดขายจากสหรัฐอเมริกาเป็นสัดส่วนสำคัญของกลุ่ม AEROFLEX บริษัทยังเห็นโอกาสการเติบโตในสหรัฐอเมริกา จากความต้องการใช้สินค้าใน อาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม ร้านอาหารฟาสฟู้ด ศูนย์ค้าปลีกขนาดใหญ่ และที่พักอาศัย เป็นต้น

ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS ยังคงทำงานร่วมกับค่ายรถยนต์อย่างใกล้ชิดโดยมุ่งเน้นพัฒนาสินค้านวัตกรรมจากการต่อยอดสินค้าเดิมและพัฒนาสินค้าใหม่ โดยล่าสุดส่งสินค้า ฝาปิดกระบะ (Roller lid) ออกสู่ตลาดแล้ว การเติบโตของ AEROKLAS คาดว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย TJM Products Pty.Ltd (TJM) ปีนี้นับเป็นปีที่ 5 ตั้งแต่ซื้อกิจการเข้ามาในกลุ่มบริษัท โดยได้ดำเนินการปรับปรุงธุรกิจไปแล้วหลายด้าน เช่น การปรับโครงสร้างธุรกิจ การสร้างร้านสาขา รวม 3 แห่ง และ การนำระบบ Supplier Partnership Program (SPP) มาใช้ดำเนินการ เป็นต้น

การดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทจะเร่งให้เกิด Synergy ของกลุ่มธุรกิจทั้งหมดของ AEROKLAS โดยใช้ฐานลูกค้าและการให้บริการครบวงจร ซึ่งจะมีโอกาสในการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ใช้วิธีการตั้งราคาขายสินค้าที่เหมาะสม ลดต้นทุนการผลิตสินค้าและการประกอบสินค้าบางอย่างในประเทศออสเตรเลีย โดยย้ายมาใช้ฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งโรงงานใหม่ของ AEROKLAS คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ประมาณไตรมาสที่ 3 ปี 62/63 และจะดำเนินการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารให้ดียิ่งขึ้น

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายใต้แบรนด์ EPP จากที่ได้ดำเนินงานปรับกลยุทธ์ โดยใช้หลักการ “Capacities Driven” บริหารจัดการกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ EPP เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยในปีนี้จะทำการตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการสินค้ามาตรฐานสูง ซึ่ง EPP ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล ได้แก่ GMP, HACCP และ The British Retail Consortium (BRC) มาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารของ สหราชอาณาจักร เป็นต้น รวมถึง กลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่ม อีกทั้งจะขยายตลาดไปสู่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ EPP สามารถปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบประเภท Bio plastic ได้เนื่องจากมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรการผลิตโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม จึงสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ทันที รวมถึงบริษัทมีแผนที่จะลงทุนขยายไลน์การผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษเพื่อสามารถให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร
ดร.ภวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับประเด็นสงครามการค้าระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน และสหรัฐอเมริกา ไม่ส่งผลกระทบทางตรงกับบริษัทในระยะสั้น ธุรกิจของบริษัทในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะยังเติบโตได้ดีตามแผนธุรกิจ ส่วนธุรกิจในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะบริษัทร่วมทุนอาจจะเผชิญปัญหาสภาวะเศรษฐกิจในประเทศและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของบริษัทร่วมทุนมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในสาธารณรัฐประชาชนจีน จึงมีศักยภาพในการแข่งขันได้เป็นอย่างดี

เมื่อ 27 พฤษภาคม 2562 บริษัทได้แจ้งข่าวกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภท อุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ให้กับลูกค้า OEM / ODM และลูกค้ารายย่อยทั่วไป โดยบริษัทย่อยของบริษัท Aeroklas (Shanghai) Co., Ltd. (“Aeroklas-SH”) สาธารณรัฐประชาชนจีน ประสงค์จะร่วมทุนกับ Sailing Technology Co., Ltd. สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น Aeroklas-SH ถือหุ้น 49% และ Sailing Technology Co., Ltd. ถือหุ้น 51% ของทุนจดทะเบียนบริษัทใหม่ ทั้งนี้ผู้ร่วมทุนมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและการตลาดในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้น รวมถึงสามารถใช้พื้นที่โรงงานของผู้ร่วมทุนในเมืองอื่นทดแทนพื้นที่เดิมซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานของ Aeroklas-SH ในเซี่ยงไฮ้เพื่อลดต้นทุนในการประกอบการ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในต้นปี 2563