เฮงเค็ล จากเยอรมนี ตอกย้ำความสำคัญของการดำเนินการตามกลยุทธ์การเติบโตอย่างมีเป้าหมายในระยะยาว โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างความยั่งยืนและให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติและต่อต้านการเหยียดผิว
นายคาร์สเทน โนเบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเฮงเค็ล กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานอยู่ทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ที่สุด เฮงเค็ลให้ความสำคัญของความหลากหลายด้านเชื้อชาติว่าเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของบริษัท และได้แสดงความคิดเห็นต่อต้านเรื่องการเหยียดผิวอย่างจริงจัง
“พนักงานของเรามาจากกว่า 100 ประเทศ จากภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เราต้องการความหลากหลายเหล่านี้ เพราะมันช่วยให้เราประสบความสำเร็จ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องส่งเสริมเรื่องความหลากหลายในทุกมิติรอบด้าน” นายคาร์สเทน กล่าว
เฮงเค็ล มีจุดยืนด้านความหลากหลายของเชื่อชาติ ความเคารพต่อผู้อื่นและไม่ให้การสนับสนุนแนวคิดเรื่องการเหยียดผิว การเลือกปฏิบัติ รวมทั้งความเกลียดชังและความรุนแรงทุกรูปแบบ นอกจากนี้เรายังคาดหวังให้พันธมิตรทางธุรกิจทั้งหมด รวมถึงพันธมิตรด้านการโฆษณาของบริษัทมีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกันด้วย
ดังนั้นในเดือนกรกฎาคมนี้ เฮงเค็ลจึงได้ตัดสินใจที่จะไม่นำเอาแบรนด์ของบริษัทไปโฆษณาบนแพลตฟอร์มของ Facebook เพื่อแสดงการสนับสนุนโครงการ #StopHateforProfit ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของเฮงเค็ลทั่วโลก
ทั้งนี้ นายคาร์สเทนได้กล่าวสรุปในการประชุมสามัญประจำปีของบริษัทฯ เมื่อไม่นานมานี้ว่าการที่บริษัทฯ จะเติบโตอย่างมีเป้าหมายนั้น เฮงเค็ล ได้วางกรอบกลยุทธ์ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งหมายรวมถึงการมีพอร์ตฟอลิโอที่ชนะตลาด มีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ชัดเจน มีนวัตกรรมเฉพาะทาง มีความยั่งยืน และมีการพัฒนาเชิงดิจิทัล มีกระบวนการทางธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน และมีโมเดลทางธุรกิจแบบใหม่ๆ รวมทั้งมีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง
“ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เป็นเรื่องยากที่จะประเมินในขณะนี้ว่าสถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่เฮงเค็ล จะพยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ให้ได้อย่างต่อเนื่อง” คาร์สเทน กล่าวแสดงความมั่นใจว่า ธุรกิจเฮงเค็ล ยังอยู่ในจุดที่ดีและสามารถคงความแข็งแกร่งได้เมื่อวิกฤตผ่านพ้นไป
สำหรับเป้าหมายด้านความยั่งยืนนั้น เฮงเค็ล ตั้งเป้าว่าจะเป็นบริษัทที่ส่งเสริมสภาพภูมิอากาศเป็นบวกภายในปี 2583 และสำหรับธุรกิจด้านสินค้าอุปโภคบริโภคนั้น บรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ จะต้องสามารถนำไปรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมดภายในปี 2568