กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พัฒนาชุดตรวจแอนติบอดีต่อเชื้อ SARS-CoV-2 ชนิดรวดเร็ว (Rapid test) เพื่อรองรับการระบาดของโรคโควิด 19 โดยใช้หลักการตรวจหาภูมิคุ้มกันวิทยา ด้วยวิธีอิมมูโนโครมาโตกราฟี ชนิดอ่านผลด้วยตาเปล่าจากตัวอย่างซีรัม พลาสมาและเลือดจากปลายนิ้ว พร้อมโชว์ศักยภาพห้องปฏิบัติการเครือข่ายภาครัฐและเอกชนในการต่อสู้กับ COVID-19 และการตรวจ COVID-19 ในบรรจุภัณฑ์และอาหาร
วันนี้(6 พฤศจิกายน 2563) ที่ห้องประชุมไพจิตร ปวะบุตร อาคาร7 ชั้น9 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าว “แล็บไทย Fight COVID-19โดยมีการดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข และเตรียมความพร้อมห้องปฏิบัติการเพื่อรับมือการระบาดของ COVID-19 ว่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข โดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีการพัฒนาวิธีตรวจวินิจฉัย ด้วยเทคนิค Real-time RT PCR ซึ่งเป็นวิธีตรวจมาตรฐาน ที่องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับ พร้อมทั้งดำเนินงานตามนโยบาย “1 แล็ป 1 จังหวัด 100 ห้องปฏิบัติการ” รายงานผลใน 1 วัน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการตรวจหาโรค COVID-19 โดยตอนนี้มีห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองแล้ว 236 แห่งทั่วประเทศครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดเหลือเพียง 1 จังหวัดจะพัฒนาให้ตรวจได้ทั้งหมดสามารถรองรับการตรวจได้มากกว่า 20,000 ตัวอย่างต่อวัน (แบ่งเป็นศักยภาพการตรวจในกรุงเทพมหานคร 10,000 ตัวอย่างต่อวัน และศักยภาพการตรวจในต่างจังหวัด 10,000 ตัวอย่างต่อวันหรือ 835 ตัวอย่างต่อเขตสุขภาพ ปัจจุบันมีจำนวนตัวอย่างที่ได้รับการตรวจสะสมรวม 1,217,873 ตัวอย่าง
นอกจากนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสยามไบโอไซเอนซ์ ร่วมวิจัยพัฒนาและผลิตชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วยวิธี Real-time RT-PCR สนับสนุนการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อให้รวดเร็วและทั่วถึง สร้างความมั่งคงด้านสุขภาพของประเทศไทย มีแหล่งผลิตชุดน้ำยาภายในประเทศ เพื่อการให้บริการตรวจคนไทย ตลอดจนสนับสนุนการคัดกรองเพื่อกักกันในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งเสริมการควบคุมและป้องกันโรคภายในประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีชุดน้ำยาตรวจ Real-time RT-PCR สำหรับ COVID-19 รองรับไปตลอด ช่วงระยะเวลาการระบาดของ COVID-19 มีการสำรองชุดน้ำยาตรวจไว้ใช้กว่า 700,000 ตัวอย่าง
นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาชุดตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ
SARS-CoV-2 ทั้งชนิด IgM และ IgG เพื่อรองรับการระบาดของโรคโควิด 19 โดยใช้หลักการตรวจทางภูมิคุ้มกันวิทยาด้วยวิธีอิมมูโนโครมาโตกราฟี ชนิดอ่านผลด้วยตาเปล่าจากตัวอย่างซีรัม พลาสมาและเลือดจากปลายนิ้ว ซึ่งชุดตรวจนี้เป็นการตรวจคัดกรองเท่านั้นและจะให้ผลที่มีความแม่นยำในกรณีที่ใช้กับตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อที่มีอาการมากกว่า 15 วัน ทั้งนี้การทดสอบและการแปรผลต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ และควรตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสร่วมกับระดับแอนติบอดีเพื่อเพิ่มความไว ความจำเพาะและความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคโควิด 19
“กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยังได้พัฒนาวิธีการตรวจวิเคราะห์สารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ปนเปื้อนในบรรจุภัณฑ์และอาหาร โดยใช้ชุดน้ำยา DMSc COVID-19 Real-time RT-PCR Kit ซึ่งห้องปฏิบัติการได้ผ่านการเข้าร่วมแผนทดสอบความชำนาญการตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผลอยู่ในเกณฑ์ยอมรับ และพร้อมให้บริการตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประมาณเดือนธันวาคม 2563 ในตัวอย่างทุเรียนแช่แข็งและบรรจุภัณฑ์ในราคา 7,000 บาท/ตัวอย่าง ใช้ระยะเวลาการตรวจประมาณ 3 วันทำการ เนื่องจากทุเรียนเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่สร้างมูลค่าให้กับประเทศไทยอย่างมาก เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ส่วนอาหารทะเลแช่แข็งชนิดอื่นๆ ขณะนี้อยู่ในกระบวนการทดสอบความใช้ได้ของวิธี ซึ่งจะเปิดให้บริการในลำดับต่อไป” นายแพทย์ศุภกิจ กล่าว