กลุ่มดุสิตธานี ประกาศเปิดตัวโรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์ อย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ณ ใจกลางลากูน่า เนชั่นแนล กอล์ฟแอนด์คันทรีคลับ หนึ่งในสนามกอล์ฟชั้นนำอันเลื่องชื่อของประเทศสิงคโปร์ เผย “ดุสิตธานี ลากูน่า” ถือเป็นรีสอร์ทแห่งแรกของเครือดุสิตธานีในสิงคโปร์และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงทิศทางกลยุทธ์ใหม่ของบริษัทฯ ในวิถีชีวิตแบบใหม่หรือ New Normal ที่เน้น 4 ประเด็นหลักคือ Personalised Service, Well-being, Local Connections และ Sustainability
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มดุสิตธานีได้ลงนามในสัญญาเพื่อบริหารโรงแรมที่อินเดียและญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้ การเปิด “โรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์” จึงนับเป็นอีกก้าวสำคัญในการขยายตัวอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ โดยเฉพาะการเปิดตัวรีสอร์ทหรูของกลุ่มดุสิตธานีครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีในการนำความเป็นไทยเข้าไปสู่ศูนย์กลางธุรกิจที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ทั้งนี้ โรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์ ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อรองรับนักกอล์ฟตัวยง, ครอบครัว และนักเดินทางเพื่อธุรกิจและพักผ่อน ภายในรีสอร์ท ประกอบด้วย ห้องพักและห้องสวีทที่ตกแต่งแบบร่วมสมัยอย่างมีรสนิยมจำนวน 198 ห้อง รวมถึงห้องพักสไตล์พาวิลเลี่ยนพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวจำนวน 8 หลัง ความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมที่อาคารหลักมีการออกแบบแนวร่วมสมัย ทำหลังคาโค้งและมีกระจกสูงจากพื้นจรดเพดานสวยงาม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงมาผสมผสานกับความหรูหราในสไตล์ของดุสิตธานี ซึ่งนับเป็นการบ่งบอกให้เห็นถึงความทันสมัยอันเป็นทิศทางใหม่สำหรับแบรนด์ดุสิตที่มีมากว่า 50 ปี นอกจากนี้ รีสอร์ทแห่งนี้ยังมีความพร้อมในการเป็นสถานที่ชั้นนำสำหรับการจัดงานต่างๆสำหรับองค์กร งานแต่งงาน และงานสังคมส่วนตัว โดยมีห้องประชุมขนาดใหญ่ 3 ห้อง สนามหญ้าสำหรับจัดงานขนาดใหญ่ 3 สนาม และห้องบอลรูมสุดหรูที่สามารถรองรับแขกได้ถึง 520 คน
ร้านอาหารและบาร์ภายในรีสอร์ท ได้แก่ ร้านอาหารเดอะกรีนเฮ้าส์ ให้บริการตลอดทั้งวัน, ทีเด็คอัลเฟรสโก้ พูลบาร์แอนด์กริลล์, ลีเจ้นด์บาร์ และเบเกอรี่และกาแฟแสนอร่อยที่ดุสิตกูร์เมต์ นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังให้ความสำคัญกับการกินดีอยู่ดีและความยั่งยืน โดยคัดเลือกวัตถุดิบ เช่น สมุนไพร ผักและผลไม้ที่นำมาใช้ในร้านอาหารจากสวนที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี และยังได้สร้างสรรค์เมนูเพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาและความสมดุล เพื่อตอบสนองผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารสุขภาพอีกด้วย
ที่นี่ยังเป็นรีสอร์ทแห่งแรกในสิงคโปร์ตั้งอยู่ในสนามกอล์ฟ โดยลูกค้าที่เข้าพักสามารถเข้าใช้บริการสนามกอล์ฟมาสเตอร์และคลาสสิกแชมเปี้ยนชิพที่มีชื่อเสียงของลากูน่า เนชั่นแนล กอล์ฟแอนด์คันทรีคลับ รวมถึงสระว่ายน้ำ 3 แห่ง สนามพัตติ้งกรีน 9 หลุมที่ได้รับการออกแบบโดยทีมงาน Nicklaus Design และสนามไดร์ฟกอล์ฟ ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ฟิตเนสที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง, สนามเทนนิส 3 สนาม, และเทวารัณย์ เวลเนส ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของดุสิตธานี ที่นอกจากการให้บริการนวดแผนไทย และการบำบัดเพื่อสุขภาพและความงามระดับพรีเมี่ยมแล้ว ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่ช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น การทำสมาธิ, โยคะ, การยืดกล้ามเนื้อ, และการฝึกลมปราณ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ได้รับการพัฒนาขึ้นให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมเทวารัณย์ เวลเนสใหม่ ที่จะนำไปใช้กับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตทั่วโลกด้วย
โรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง 15 นาที และใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์จากสนามบินนานาชาติ เพียง 10 นาที ซึ่งมีสถานที่สำคัญและสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงที่ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ไม่เกิน 20 นาที ได้แก่ ชางงี บิสิเนส พาร์ค, สิงคโปร์ เอ็กซ์โป, ย่านธุรกิจแทมปิเนส, อ่าวมารีน่า, ย่านธุรกิจราฟเฟิลส์ เพลส, ถนนออร์ชาร์ด และเกาะเซนโตซ่า และเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าที่เข้าพักจะได้ไปถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ ทางรีสอร์ทจึงมีการเตรียมเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกที่พร้อมจะให้คำแนะนำส่วนบุคคลเกี่ยวกับกิจกรรมและสถานที่ที่ไม่ควรพลาดให้กับลูกค้าอีกด้วย
“โรงแรมแห่งใหม่นี้มีการออกแบบที่สวยงาม บนทำเลที่ดีเยี่ยมใจกลางลากูน่า เนชั่นแนล กอล์ฟแอนด์คันทรีคลับ พร้อมการนำเสนอบริการแบบครบวงจรที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ลูกค้าที่มาพักผ่อนในวันหยุด คู่รักที่กำลังจะแต่งงาน ไปจนถึงนักกอล์ฟ ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเรามีช่องทางมากมายในการสร้างรายได้ภายในประเทศขณะที่รอให้สถานการณ์โควิด-19 กลับสู่ภาวะปกติและการเดินทางระหว่างประเทศเริ่มขึ้นได้อีกครั้ง โดยที่ผ่านมา สิงคโปร์มีการเติบโตด้านการท่องเที่ยวติดต่อกันถึง 4 ปี ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายมาก แต่เราก็มั่นใจว่า สิงคโปร์จะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง และเราขอเป็นส่วนหนึ่งในการมีส่วนร่วมช่วยผลักดันให้ “ดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์” เป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องมาเยือน ซึ่งจะช่วยสร้างการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนมาสู่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดุสิตธานีกล่าว
ด้าน มร. เอริค เพียตี้ ผู้จัดการทั่วไป ของโรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์ กล่าวว่า เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ “ดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์” ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ด้วยที่ตั้งที่โดดเด่นผสานกับประสบการณ์อันยาวนานด้านการบริการของกลุ่มดุสิตธานี พร้อมการบริการที่ครบวงจร ทำให้มั่นใจว่ารีสอร์ทหรูแห่งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศอย่างแน่นอน แม้ว่าเราจะเปิดให้บริการรีสอร์ทในขณะที่การท่องเที่ยวระหว่างประเทศหยุดชะงัก แต่ความต้องการที่พักภายในประเทศยังคงมีสูง และเรามีรีสอร์ทที่ไม่เหมือนใครเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ดังนั้น การเปิดให้บริการในช่วงเวลานี้จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าทุกอย่างจะพร้อมกลับมามีชีวิตชีวาทันที เมื่อการเดินทางระหว่างประเทศกลับมาดำเนินได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าพักที่ ดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์ ทางรีสอร์ทยังมอบบริการ “ดุสิตแคร์” บริการตอบรับวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เน้นเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจและปลอดภัยที่จะเข้าใช้บริการ อาทิเช่น สามารถเข้าเช็คอินและเลือกรับอาหารเช้าในเวลาที่ลูกค้าสะดวก, ดิจิตอลเมนูอาหารภายในห้องพัก, วิธีการชำระเงินผ่านมือถือ และการฆ่าเชื้อความสะอาด เพิ่มระยะห่าง และลดการสัมผัส รวมถึงมอบชุดป้องกันส่วนบุคคลแบบพกพา เช่น เจลล้างมือและหน้ากากให้กับลูกค้าของโรงแรม โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพักได้ที่ dusit.com/dusitthani-laguna-singapore
กลุ่มดุสิตธานีได้สร้างมาตรฐานใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบใหม่ และยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการขยายตัวอย่างยั่งยืนด้วยการปักธงในจุดยุทธศาสตร์ที่มีการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพเช่น ญี่ปุ่น อินเดีย และ สิงคโปร์ โดยภายในปี 2563 บริษัทฯ ได้ดำเนินการเปิดโรงแรมรวม 5 แห่ง คือ ดุสิตดีทู ซัลวา โดฮา ที่การ์ต้า, ดุสิตธานี เวลเนส รีสอร์ท ซูโจว เจียงซู ที่จีน, ดุสิต บีชรีสอร์ท กวม ที่สหรัฐอเมริกา, อาศัย ไชน่าทาวน์ ที่ไทย และดุสิตธานี ลากูน่า สิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมีอสังหาริมทรัพย์รวม 340 แห่ง ที่ดำเนินงานภายใต้แบรนด์ 6 แบรนด์ใน 15 ประเทศ