กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ประกาศทิศทางสำหรับอนาคต และความสำเร็จด้านความยั่งยืนจากการดำเนินงานในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการพัฒนาด้านโภชนาการใหม่ในกลุ่มธุรกิจอาหาร การใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย โชห่วยผ่านโครงการร้านติดดาว รวมถึงการสร้างการจ้างงานผ่านโครงการ Wall’s man (พี่ติมวอลล์) ที่มาส่งต่อความสุขผ่านไอศกรีมให้กับผู้บริโภค
โรเบิร์ต แคนเดลิโน ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ประเทศไทยและอาเซียน กล่าวว่า “ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ ยูนิลีเวอร์จะครบรอบ 88 ปี ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในครัวเรือนไทยถึง 99% สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย เรามีความรับผิดชอบที่จะดูแลคนไทยและประเทศไทยซึ่งเป็นเสมือนบ้านของเรา”
“เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2563 คงปฎิเสธไม่ได้ว่าปีนี้เป็นปีที่ท้าทายอย่างมากสำหรับทุกคน สถานการณ์ที่ยากลำบากจากโรคระบาดส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ และความไม่สงบทางการเมือง และส่งผลกระทบต่อหลายภาคธุรกิจ แต่ยูนิลีเวอร์ยังคงยืนหยัดที่จะดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนและสังคมของเรา ดังเช่นที่เราทำมาตลอด โดยที่ผ่านมา เราได้บริจาคผลิตภัณฑ์มูลค่า 200 ล้านบาท ได้แก่ เจลทำความสะอาด ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์คนอร์และวอลล์ ชุดตรวจหาเชื้อโควิด และเครื่องช่วยหายใจ อีกทั้งยังดูแลพนักงานของเราทุกคน เพราะเราถือว่าความปลอดภัยของพนักงานมีความสำคัญเป็นอันดับแรก”
นอกจากนี้ ยูนิลีเวอร์ยังช่วยสนับสนุนสภาพคล่องทางการเงินของพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยการยืดระยะเวลาชำระเงินเป็นพิเศษ รวมทั้งช่วยแบ่งเบาด้านค่าครองชีพให้แก่ผู้บริโภคด้วยการลดราคาสินค้าหลายรายการ และไม่หยุดยั้งที่จะคิดค้นนวัตกรรมและสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องหลายรายการ เช่น น้ำยาทำความสะอาดโปรแมกซ์ฆ่าเชื้อโควิด สินค้าแอนตี้แบค คนอร์ข้าวต้มที่เพิ่มคุณค่าทางอาหาร เป็นต้น
แม้ว่าความท้าทายต่างๆ จะยังไม่หมดไป แต่เราต้องไม่ละเลยปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของโลก ที่ยังอยู่ในภาวะเสี่ยงและสามารถส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติได้ ด้วยเหตุนี้ ยูนิลีเวอร์จึงได้ประกาศมาตรการและพันธกิจใหม่ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่ยังไม่คลี่คลาย ทั้งนี้ พันธกิจใหม่มีเป้าหมายในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเร่งฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติเพื่อคนรุ่นหลัง
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าของยูนิลีเวอร์ จะเปลี่ยนมาใช้คาร์บอนหมุนเวียนหรือที่มาจากการรีไซเคิล
โดยภายในปี 2573 ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและซักผ้าทั้งหมดของยูนิลีเวอร์ จะเลิกใช้คาร์บอนที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล แล้วเปลี่ยนไปใช้คาร์บอนหมุนเวียนหรือที่มาจากการรีไซเคิลแทน ยูนิลีเวอร์ ยังตั้งกองทุนมูลค่า 1 พันล้านยูโร สำหรับโครงการ Clean Future เพื่อใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ และการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และของเสีย รวมทั้งการใช้สารเคมีคาร์บอนต่ำ รวมถึงการคิดค้นสูตรผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดน้ำและย่อยสลายทางชีวภาพได้
ลดขยะอาหารจากกระบวนการผลิตและเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี 2 เท่า
ยูนิลีเวอร์ ยังมุ่งเปลี่ยนแปลงระบบอาหารทั่วโลก โดยภายในปี 2568 จะลดปริมาณขยะอาหารจากกระบวนการผลิตโดยตรงนับตั้งแต่ที่โรงงานไปจนถึงชั้นวางของในร้านค้า ให้ได้ครึ่งหนึ่งทั่วโลก และจะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีเป็นสองเท่าตัวทั่วโลก รวมถึงเดินหน้าลดแคลอรี่ ปริมาณเกลือและน้ำตาลในทุกผลิตภัณฑ์ลง ผ่านพันธกิจ “Future Food”
ยูนิลีเวอร์ประเทศไทย ประกาศความคืบหน้าในการลดขยะพลาสติกกว่า 1,400 ตันและการสร้างอุปสงค์สำหรับเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยการใช้ PCR มากถึง 4,000 ตัน
“ในประเทศไทย ยูนิลีเวอร์เป็นผู้นำในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลหลังการบริโภค (post-consumer recycled: PCR) ภายในประเทศ มากถึง 4,000 ตัน ปัจจุบันหลายแบรนด์ของเรา เช่น ซันไลต์ คอมฟอร์ต ซันซิล และโดฟ ล้วนใช้ขวดบรรจุภัณฑ์ที่เป็น PCR ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไทย และทำให้เกิดการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการคัดแยกและจัดเก็บขยะพลาสติก เพื่อให้ขยะพลาสติกถูกนำมาหมุนเวียนใช้ในระบบ นอกจากนี้ ในส่วนของการลดการใช้พลาสติก ยูนิลีเวอร์ได้ลดการใช้เม็ดพลาสติกใหม่กว่า 1,400 ตัน และยังได้เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของถ้วยไอศกรีมวอลล์จากเดิมที่เป็นพลาสติก มาเป็นถ้วยกระดาษแทน ซึ่งสามารถลดขยะพลาสติกได้ถึง 200 ตัน ต่อปี” โรเบิร์ต กล่าว
ปีที่แล้ว ยูนิลีเวอร์ได้ประกาศพันธกิจในด้านพลาสติก โดยมุ่งลดการใช้เม็ดพลาสติกใหม่ลงครึ่งหนึ่ง และใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ใช้ซ้ำได้ หรือย่อยสลายได้ ให้ได้ 100% นอกจากนี้ยังต้องเก็บรวบรวมพลาสติกและนำมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ ให้ได้มากกว่าปริมาณที่จำหน่ายออกไป
“สภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ดีของโลกและผู้คน เป็นหัวใจหลักของการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันยูนิลีเวอร์จะได้รับการจัดอันดับโดย Globescan ให้เป็นองค์กรธุรกิจที่มีความยั่งยืนเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เราก็ยังมีงานด้านความยั่งยืนที่ต้องทำอีกมากและเราไม่สามารถทำคนเดียวได้ เราต้องการให้เกิดการทำงานร่วมกัน สิ่งที่สำคัญคือ ยูนิลีเวอร์ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด และภาครัฐ จะต้องทำหน้าที่ของตนในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย 68 ล้านคน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งการยกระดับสุขอนามัยและความเป็นอยู่ที่ดี ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากแหล่งกำเนิด และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคม” โรเบิร์ต กล่าวสรุป