ไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) เปิดเผยถึงความสามารถใหม่ที่ก้าวล้ำของไอบีเอ็ม วัตสัน ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยขยายการใช้งานเอไอขององค์กรธุรกิจ
โดยศูนย์วิจัยไอบีเอ็มนี้ ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานอัตโนมัติของเอไอ เพิ่มความแม่นยำในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลการคาดการณ์โดยเอไอ โดยประกอบด้วย
• เทคโนโลยี Reading Comprehension บนพื้นฐานของระบบ question-answering หรือ QA ที่ก้าวล้ำจากศูนย์วิจัยไอบีเอ็ม โดยปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวยังเป็นเวอร์ชันเบตาภายใต้ IBM Watson Discovery และจะกลายเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยตอบคำถามที่เป็นภาษาธรรมชาติจากข้อมูลเอกสารที่มีความซับซ้อนขององค์กรได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น โดยจะสามารถระบุคะแนนแสดงระดับความมั่นใจของระบบที่มีต่อแต่ละคำตอบได้ด้วย
• เทคโนโลยี FAQ Extraction ที่ใช้เทคนิค NLP ใหม่จากศูนย์วิจัยไอบีเอ็มในการดึงคำตอบของแต่ละคำถามอัตโนมัติจากเอกสาร FAQ ปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวยังเป็นเวอร์ชันเบตาและอยู่ภายใต้เครื่องมือการค้นหาใน IBM Watson Assistant และจะได้รับการพัฒนาให้เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถอัพเดทข้อมูลล่าสุดให้แก่ผู้ช่วยเวอร์ชวล (virtual assistant) ได้โดยอัตโนมัติ ช่วยลดกระบวนการอัพเดทแบบแมนวลซึ่งเป็นงานที่กินเวลา
• โมเดลการจำแนกเจตนาที่ปัจจุบันเปิดให้ใช้งานแล้วผ่าน IBM Watson Assistant ได้รับการออกแบบมาให้สามารถเข้าใจเป้าหมายหรือเจตนาของผู้ใช้ในขณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ช่วยเวอร์ชวลได้อย่างถูกต้องมากขึ้น และเอื้อให้แอดมินสามารถฝึกสอนระบบได้เร็วขึ้น โดยโมเดลดังกล่าวสามารถให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องมากขึ้นจากปริมาณข้อมูลที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับระบบเชิงพาณิชย์ที่นำมาเปรียบเทียบ [1] ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเริ่มใช้งานผู้ช่วยเวอร์ชวลได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ด้วยระดับความถูกต้องที่สูงกว่า
• IBM Watson Discovery ที่วันนี้สนับสนุนภาษาต่างๆ เพิ่มขึ้น 10 ภาษา ประกอบด้วยภาษาบอสเนีย โครเอเชีย เดนมาร์ค ฟินแลนด์ ฮิบรู ฮินดี นอร์เวย์ (Bokmål) นอร์เวย์ (Nynorsk) เซอร์เบีย และสวีเดน โดยไอบีเอ็มยังคงเดินหน้าเพิ่มการสนับสนุนภาษาอื่นๆ ต่อไป เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถสร้างโซลูชัน NLP เอ็นเตอร์ไพรซ์ระดับโลก
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมล่าสุดเกี่ยวกับการประมวลผลภาษาธรรมชาติได้ที่นี่
“ในปีที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของเอไอในการสนับสนุนการปฏิบัติงานและการตอบสนองต่อเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปได้แบบเรียลไทม์ ร่นเวลาเหลือไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง แทนที่จะเป็นสัปดาห์หรือเดือน” แดเนียล เฮอร์นานเดซ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานข้อมูลและเอไอของไอบีเอ็ม กล่าว “ความสามารถใหม่ๆ ของเอไอในวันนี้ เป็นอีกตัวอย่างของความก้าวหน้าด้านเอไอที่เป็นผลผลิตของศูนย์วิจัยไอบีเอ็ม ที่ช่วยให้เราสามารถเพิ่มนวัตกรรมด้านภาษา ออโตเมชัน และการสร้างความโปร่งใสเชื่อถือได้ให้แก่ไอบีเอ็มวัตสัน สิ่งนี้จะเข้ามาพลิกเกมของธุรกิจทุกขนาดในทุกอุตสาหกรรม”
ความสามารถในการกำกับดูแลเอไอที่ก้าวล้ำช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและโปร่งใสให้กับผลลัพธ์ทางธุรกิจ
ไอบีเอ็มประกาศแผนเปิดบริการเทคโนโลยี ‘AI Factsheets’ ที่พัฒนาโดยศูนย์วิจัยไอบีเอ็ม ผ่าน Watson Studio ใน Cloud Pak for Data โดย AI Factsheets ได้รับการออกแบบให้สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณลักษณะที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ในลักษณะเดียวกับฉลากโภชนาการอาหารหรือป้ายแสดงข้อมูลของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ การเผยแพร่และทำให้ข้อมูลเหล่านี้กลายเป็นมาตรฐานจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือที่มีต่อบริการเอไอในวงกว้าง
ไอบีเอ็มยังได้เปิดตัวบริการให้คำปรึกษา IBM Services for AI at Scale ที่จะช่วยวางกรอบเฟรมเวิร์ค ระเบียบวิธี และเทคโนโลยีที่เป็นรากฐาน เพื่อช่วยแนะแนวทางสู่เส้นทางของเอไอที่เชื่อถือได้และมีจริยธรรม นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มความสามารถให้แก่ IBM Cloud Pak for Data ให้สามารถมอบรากฐานที่สมบูรณ์ให้แก่เอไอ โดยใช้งานบนคลาวด์ใดก็ได้ ทั้งนี้สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AI Governance ได้ที่นี่
วันนี้แบรนด์ชั้นนำระดับโลกได้เลือกใช้ไอบีเอ็มวัตสันเพื่อผสานความสามารถอัจฉริยะเข้ากับเวิร์คโฟลว์ที่มีอยู่ อาทิ อีวาย ซึ่งเป็นผู้นำด้านการรับประกัน ภาษี กลยุทธ์และการทำธุรกรรม รวมถึงบริการให้คำปรึกษาระดับโลก ที่ได้ยกระดับกระบวนการ due diligence ด้านการควบรวมกิจการโดยใช้ IBM Watson Discovery โดยหลังจากที่ได้ขยายการเป็นพันธมิตรระดับโลกกับไอบีเอ็มเมื่อไตรมาสที่ผ่านมา อีวายได้เปิดตัว Diligence Edge ที่มีโมเดล NLP แบบคัสตอมที่ได้รับการฝึกฝนด้วยภาษาด้านการควบรวมกิจกรรมที่เป็นกรรมสิทธิ์ของอีวาย เพื่อช่วยให้ดีลเมคเกอร์สามารถระบุและได้รับมุมมองเชิงลึกตลอดไลฟ์ไซเคิลของแต่ละธุรกรรม และสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับโอกาสในการสร้างคุณค่าของดีลจากข้อมูลที่มี เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากกระบวนการของดีลที่มีการแข่งขันกัน
ขณะที่รีเจียนส์แบงค์กับไอบีเอ็มได้ร่วมกันทำ use case เกี่ยวกับการมอนิเตอร์โมเดลได้เสร็จสมบูรณ์ด้วย IBM Cloud Pak for Data และ Watson OpenScale โดยรีเจียนส์สามารถตรวจสอบความถูกต้องของโมเดลได้อย่างต่อเนื่องในขั้นตอนโปรดัคชัน และบรรลุคุณภาพของการคาดการณ์ด้วยระดับความมั่นใจที่สูงกว่า ไอบีเอ็มได้สนับสนุนแนวทางการติดตามผลการทำงานของโมเดลที่มีความเป็นมาตรฐานและเป็นระบบ และจะช่วยสนับสนุนรีเจียนส์ในโปรแกรม lifecycle management ของโมเดลตั้งแต่ต้นจนจบ โดยปัจจุบันรีเจียนส์ยังใช้ไอบีเอ็มวัตสันเพื่อเสริมศักยภาพงานบริการลูกค้า โดยนำ Watson Assistant มาใช้ ช่วยให้สามารถลดเวลารอสายได้ร้อยละ 40 นับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อีวายและรีเจียนส์แบงค์เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทที่นำไอบีเอ็มวัตสันมาใช้ ที่กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Japan Airlines, NatWest, Maricopa County และอื่นๆ อีกมากมาย
การเปิดตัวไอบีเอ็ม วัตสัน ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งย่างก้าวที่สำคัญของไอบีเอ็ม ในการยกระดับกลยุทธ์ด้านเอไอสำหรับธุรกิจของบริษัท นับตั้งแต่การเปิดให้บริการนวัตกรรม NLP ที่ก้าวล้ำจากโครงการ Project Debater ในเชิงพาณิชย์ การขยายความสามารถด้านออโตเมชันที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอในนาม IBM Watson AIOps การเข้าซื้อกิจการ WDG Automation และ Instana [2] รวมทั้งการขยายอิโคซิสเต็มความร่วมมือที่มีกับ ServiceNow นอกจากนี้ยังได้มีการช่วยให้องค์กรธุรกิจ หน่วยงานด้านการดูแลสุขภาพ หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงสถาบันการศึกษา สามารถใช้ IBM Watson Assistant เพื่อช่วยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับการแพร่ระบาด