“เมดีซ กรุ๊ป” ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำด้าน BIOlongevityในไทยและภูมิภาคอาเซียน

31
นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์

“เมดีซ กรุ๊ป” ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำด้าน BIOlongevity ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เผยรายได้ปี 2564 เพิ่มถึง 25% มากกว่า 500 ล้านบาท รับอานิสงค์กระแสการตื่นตัว ด้านสุขภาพของผู้คนหลังวิกฤติโควิด-19 ตั้งเป้าโตก้าวกระโดด 100-200% ภายในสิ้นปีนี้

บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านสถาบันการฝากเก็บ คัดแยก เพาะเลี้ยง และวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดแบบครบวงจร พร้อมรางวัลการันตีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก เผยรายได้ปี 2564 ด้วยยอดรวมถึงกว่า 500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% จากปีที่แล้ว โดยเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจตรวจวิเคราะห์เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK Cell จาก บริษัท เมดีซ เอ็นเค จำกัด ในเครือเมดีซ กรุ๊ป มากกว่า 28% หรือคิดเป็นมูลค่า 140 ล้านบาท ตอบรับกระแสการตื่นตัวด้านสุขภาพ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปรากฏการณ์ทั้งในไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ภายหลังการเกิดสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากยอดการฝากสเต็มเซลล์จากไขมัน ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าให้มากขึ้นเฉลี่ยครอบครัวละ 3-4 คน นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าขยายธุรกิจในตลาดประเทศกลุ่มอาเซียน รวมถึงจีน ไต้หวัน และตะวันออกกลาง เตรียมเปิดห้องปฏิบัติการที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อันทันสมัยที่สุดของทางบริษัทเองให้ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคภายในปี 2570

พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ภายใต้คอนเซปต์ “เลือกพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” (Live A Better Tomorrow) ออกอากาศทางสื่อออนไลน์ทั่วประเทศแล้วตั้งแต่วันนี้ เพื่อเจาะตลาดเพิ่มฐานลูกค้าที่มีรายได้สูงในระดับ Affluent Mass และ High Net Worth ซึ่งเน้นการฟื้นฟูการเสื่อมสภาพของร่างกาย สร้างชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดี ไปจนถึงผู้ที่รักสวยรักงาม ต้องการแลดูอ่อนกว่าวัยและมีรูปลักษณ์ที่ดูดีอยู่เสมอ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 100-200% ภายในสิ้นปี 2565 นี้

นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า เมดีซ กรุ๊ป ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในทั่วโลก และได้ดำเนินธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่องมาถึง 12 ปี เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนด้านสุขภาพให้กับคนทั่วโลก มุ่งมั่นนำเสนอทางเลือกใหม่ที่จะทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตอันยืนยาวและใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิมได้ ผ่านนวัตกรรม BIOlongevity ที่ครบวงจรที่สุด

โดยในปัจจุบัน เรามียอดรวมจำนวนการเก็บสเต็มเซลล์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก เพราะทุกกระบวนการ ตั้งแต่การฝากเก็บ จนถึงการเพาะเลี้ยงเซลล์ ถูกคิดขึ้นจากงานวิจัยที่ได้รับการรับรองจากสถาบันต่างๆ ในระดับโลก เราพิถีพิถันในทุกรายละเอียดจนได้รับรางวัลการันตีคุณภาพจากเวทีระดับสากลมากมาย อาทิ รางวัลยอดเยี่ยมต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อนจาก Frost & Sullivan ในฐานะธนาคารสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย (Thailand’s Stem Cell Banking Company of the Year)

รางวัล World Branding Awards โดยWorld Branding Forum รางวัลระดับอนุภูมิภาค South East Asia Stem Cell Banking Technology Innovation Leadership Award และล่าสุด เรายังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสถาบัน นั่นคือ The American Association of Blood Banks (AABB) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองและกำหนดมาตรฐานแนวทางการดำเนินงานของธนาคารสเต็มเซลล์ที่เข้มงวดที่สุดในโลก โดยเป็นมาตรฐานคุณภาพที่ครอบคลุมกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเลือดจากสายสะดือทั้งกระบวนการดำเนินการ ตั้งแต่การจัดเก็บในระยะยาว ไปจนถึงการกระจายขนส่งเพื่อรองรับการรักษาให้กับผู้ป่วยในทั่วโลก

ในส่วนของรายได้ปี 2564 ที่ผ่านมา เราสามารถปิดยอดรวมได้ถึงกว่า 500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีผลกำไรสุทธิคิดเป็น 123 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลจากการที่ผู้คน ในสังคมต่างหันมาตื่นตัวด้านสุขภาพกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องด้วยปัจจัยจากวิกฤติโรคระบาดที่เกิดขึ้นและแนวโน้มที่ประชากรทั่วภูมิภาคมีลูกน้อยลง

ซึ่งจะส่งผลให้ผู้สูงอายุในอนาคตจำเป็นต้องดูแลตนเองในยามที่แก่ชรามากขึ้น รายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของเราจึงมาจากยอดการฝากสเต็มเซลล์จากไขมัน ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าให้มากขึ้นกว่าเดิมเฉลี่ย 3 เท่า หรือครอบครัวละ 3 – 4 คน จากที่เคยเป็นลูกค้าของเราแค่ครอบครัวละ 1 คนจากการฝากเก็บสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อสายสะดือของทารกแรกเกิด โดยผลประกอบการดังกล่าว มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจจัดเก็บเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK Cell จาก บริษัท เมดีซ เอ็นเค จำกัด ในเครือเมดีซ กรุ๊ป คิดเป็น 28% หรือ 140 ล้านบาท

นายแพทย์วีรพล กล่าวต่อไปว่า ธุรกิจของเราอยู่ในภาคส่วนนวัตกรรมการบริการด้านสุขภาพ (Healthcare Innovation) ที่เติบโตสวนกระแสการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา โดยสัดส่วนรายได้หลักยังคงมาจากยอดการฝากเก็บและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ทั้งในประเทศไทยและตลาดในประเทศกลุ่มอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม เมียนมาร์ สิงคโปร์ กัมพูชา อินโดนีเซีย รวมถึงไต้หวัน

“โดยเราให้บริการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดชนิด HSC จากเม็ดเลือดแดง เซลล์ต้นกำเนิดชนิดมีเซ็นไคม์ (MSC) จากเนื้อเยื่อสายสะดือและไขมัน รวมทั้งยังเป็นบริษัทแรกของโลกที่มีบริการตรวจวิเคราะห์และจัดเก็บเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK Cell หรือเซลล์ภูมิต้านทาน โดยเรามีจุดเด่นคือการบริการครอบคลุมการจัดเก็บเซลล์นานถึง 60 ปี ซึ่งเราเป็นบริษัทเดียวในอาเซียนที่ให้การรับประกันคุณภาพเซลล์ 30 ปี ”

เนื่องจากเมดีซ กรุ๊ปมีนักวิทยาศาสตร์และบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิโดยเฉพาะในด้านนี้ที่ทำงานกับเราเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพเซลล์ในทุก 5 ปี ด้วยวิธีละลายเซลล์ที่แช่แข็งออกมาเพื่อตรวจเช็คคุณภาพอย่างเข้มงวดในทุกแง่มุม นอกจากนี้ยังมีความแข็งแกร่งในด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) รวมถึงเครือข่ายแพทย์ นักวิจัย และบุคลากรในวงการเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) อันแข็งแกร่ง ไปจนถึงการมีห้องปฏิบัติการปลอดเชื้อระดับคลีนรูมคลาส 100 ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยที่สุดในวงการธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์ อาทิ เครื่องคัดแยกจัดเก็บเซลล์จากเม็ดเลือดแดงอัตโนมัติ (AXP AutoXpress Platform) ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดจากมนุษย์และลดการปนเปื้อนจากภายนอกได้ และเครื่องอัตโนมัติ Quantum ที่ใช้เพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อภายในระยะเวลาอันสั้น โดยเราจะมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมที่เป็นระบบออโตเมชั่นมากขึ้นในทุกขั้นตอนการปฏิบัติงานของเราเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้อยู่ในระดับสูงสุดอย่างไม่หยุดยั้ง

สำหรับทิศทางของธุรกิจในปี 2565 เมดีซ กรุ๊ป ตั้งเป้ารุกขยายตลาดประเทศกลุ่มอาเซียน รวมถึงจีน ไต้หวัน และตะวันออกกลาง เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้ได้ถึง 100-200% ภายในสิ้นปีนี้ โดยเราจะเพิ่มงบลงทุนในส่วนของการวิจัยและพัฒนาและการจัดตั้งห้องปฏิบัติการหรือห้องแล็ปที่บริษัทเป็นเจ้าของเองในประเทศต่างๆ ให้ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคภายในอีก 6 ปีข้างหน้านี้ เริ่มด้วยห้องแล็ปในเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในปี 2566 ในเมืองเสินเจิ้น ประเทศจีนในปี 2567 ในอินโดนีเซียในปี 2568 ในเวียดนามในปี 2569 และในไต้หวันในปี 2570 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาบรรทัดฐานด้านคุณภาพให้กับบริการของเมดีซ กรุ๊ป ให้เป็นมาตรฐานระดับสากลที่ลูกค้าสามารถมั่นใจได้เหมือนกันในทุกประเทศทั่วโลกที่เราเข้าไปดำเนินธุรกิจ

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์ไวรัลชุดใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “เลือกพรุ่งนี้ที่ดีกว่า” (Live A Better Tomorrow) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมี ‘ทางเลือก’ ของผู้คนในการมีสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาวขึ้น หวังเจาะกลุ่มลูกค้าชนชั้นกลางผู้มีรายได้สูง หรือ Affluent Mass และกลุ่มผู้มีฐานะทางการเงินในระดับ High Net Worth (รายได้มากกว่า 4 ล้านบาทต่อปี) โดยลูกค้าเหล่านี้จะตระหนักถึงความสำคัญของการใช้จ่ายไปกับการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับตนเอง รวมทั้งมองหาทางเลือกใหม่ๆ ที่ใช้นวัตกรรมอันก้าวหน้ามาสร้างชีวิตให้ยืนยาวและมีคุณภาพให้กับตนเองและครอบครัว

“ในฐานะหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาลท่ามกลางเศรษฐกิจกระแสใหม่ (New Economy) และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ความสำเร็จของเราสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการช่วยผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมด้าน สเต็มเซลล์ของไทยให้ก้าวสู่ระดับเวิลด์คลาสได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยเราได้รับความเชื่อมั่นจากนานาประเทศในด้านคุณภาพซึ่งตรงตามมาตรฐานสากลและจริยธรรมทางการแพทย์

ดังนั้นการนำสเต็มเซลล์ที่ผ่านการดูแลโดยเมดีซ กรุ๊ป ไปใช้รองรับการรักษาในอนาคต ย่อมยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้า ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องตอกย้ำถึงภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของเมดีซ กรุ๊ป ในการเป็น แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเชี่ยวชาญในระดับ State-of-the-Art BIOlongevity Technology” นายแพทย์ วีรพล กล่าวสรุป