“ทีดี ตะวันแดง” ชี้แจงกรณี “ร้านถูกดี” ยืนยันวิสัยทัศน์ค้าปลีกเพื่อชุมชน

19

บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด เผยวิสัยทัศน์การดำเนินงานร้านค้าปลีกเพื่อชุมชน “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” พร้อมชี้แจงกรณีร้านค้าที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ 

เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 โดยมีวิสัยทัศน์ในการสร้างเครือข่ายร้านค้าปลีกของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน ซึ่งจนถึงขณะนี้มีร้านค้าที่เข้าร่วมเป็น ร้านถูกดี มีมาตรฐาน ทั้งหมดมากกว่า 5,000 ร้านค้า โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจระหว่าง บริษัทฯ  และ ผู้ดำเนินการร้านค้า คือ การที่บริษัทฯ จะเป็นผู้ลงทุนให้ในส่วนของสินค้าทุกชนิด และอุปกรณ์ทั้งหมดภายในร้าน

ได้แก่ ชั้นวางสินค้า ตู้เย็น เครื่องคิดเงินอัตโนมัติ (POS) ป้ายสินค้า กล้องวงจรปิด ระบบที่ใช้ในการดำเนินการร้านค้า ซึ่งรวมมูลค่าต่อร้านค้าเกือบ 1 ล้านบาท และทางผู้ดำเนินการต้องลงทุนในส่วนของการปรับปรุงร้านค้าให้ได้ตามมาตรฐาน และ เงินค้ำประกันสัญญา 2 แสนบาท ซึ่งรูปแบบธุรกิจนี้เกิดขึ้นมาจากการที่บริษัทต้องการที่จะแก้ปัญหาของร้านโชห่วยส่วนใหญ่ในประเทศที่มีเงินทุนในการซื้อสินค้าจำกัด จึงได้เป็นผู้ออกทุนในส่วนนี้เอง

ผู้ดำเนินการร้านถูกดี มีมาตรฐานกว่า 5,000 ราย ทราบดีว่า สินค้าและอุปกรณ์ในร้านค้า เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ  เมื่อขายสินค้าได้ ผู้ดำเนินการมีหน้าที่นำส่งรายได้จากการขายสินค้าให้บริษัทฯ ในวันทำการธนาคารถัดไป และในขณะที่เปิดดำเนินการร้านค้าร่วมกัน ผู้ดำเนินการยินยอมให้บริษัทฯ ส่งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปนับสต๊อกสินค้า หากมีสินค้าสูญหาย ทางผู้ดำเนินการจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งผู้ดำเนินการทุกรายเข้าใจและปฏิบัติเป็นปกติมาตลอด

ในกรณีที่ผู้ดำเนินการไม่นำส่งรายได้ บริษัทจะมีการทวงถาม และเมื่อยังไม่นำส่งรายได้ในส่วนที่ขายเข้ามาเกินกว่า 3 วัน ทางบริษัทฯ จะหยุดส่งสินค้า และหากเกินกว่า 4 วัน บริษัทฯ จะส่งจดหมายแจ้งเตือนให้ชำระเงินภายใน 3 วันทำการ หากไม่มีการชำระเงินเข้ามา บริษัทฯ จะยกเลิกสัญญาทันที และนัดหมายเพื่อทำการขนย้ายอุปกรณ์และสินค้าของบริษัทฯ ทั้งหมดออกจากร้านค้า

กรณีร้านค้าที่เชียงราย ทางผู้ดำเนินการได้เปิดร้านกับถูกดี ในวันที่ 14 ส.ค. 2565 หลังจากเปิดดำเนินการ ทางร้านค้ามีการโอนเงินล่าช้าอย่างต่อเนื่องมากกว่า 80 ครั้ง จาก 130 ครั้ง และในเดือนพฤศจิกายน ทีมนับสต๊อกของบริษัทฯ ได้เข้าตรวจนับสต๊อก และพบว่ามียอดสินค้าสูญหายสูงกว่าส่วนแบ่งรายได้ ทางบริษัทฯ จึงนำรายได้ของร้านค้ามาหักชำระค่าสินค้าสูญหายก่อน ซึ่งไม่พอชำระ ทำให้ไม่มีเงินรายได้ของร้านค้าเหลือให้โอนไปในวันที่ 7 ธันวาคม 2565

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ ได้ส่งหนังสือไปถึงร้านค้าดังกล่าว เพื่อทวงถามการชำระเงินของวันที่ 6-14 ธันวาคม และกำหนดให้ชำระเข้ามาภายใน 3 วัน เมื่อถึงกำหนดชำระและบริษัทฯ ไม่ได้รับเงินดังกล่าว จึงได้ออกจดหมาย ณ วันที่ 22 ธันวาคม เพื่อแจ้งยกเลิกสัญญา และกำหนดเข้าปิดร้านในวันที่ 26 ธันวาคม  ต่อมาในวันที่ 25 ธันวาคม  เวลา 20.49 น. ทางร้านค้าได้โอนยอดเงินค้างชำระมาให้กับบริษัท ซึ่งการชำระนี้เลยกำหนดที่บริษัทได้ให้กับทางร้านค้าไปแล้ว

บริษัทฯ จึงยืนยันเข้าไปปิดร้านตามที่นัดหมายไว้ในจดหมาย แต่ไม่สามารถที่จะเข้าไปเก็บทรัพย์สินของบริษัทฯ ออกมาจากร้านได้ เพราะทางร้านค้าไม่อนุญาตให้พนักงานของบริษัทฯ เข้าไปในร้าน ภายหลังบริษัทฯ พยายามนัดเข้าไปปิดร้านอีกครั้งในวันที่ 17 มกราคม 2566 แต่ในครั้งนี้ก็ไม่สามารถขนย้ายสำเร็จเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อไม่สามารถขนสินค้าและทรัพย์สินของบริษัทฯ ออกมาได้ บริษัทฯ จึงจำเป็นที่จะต้องแจ้งความผู้ดำเนินการในข้อหายักยอก ซึ่งต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจะดำเนินการให้ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกผู้ดำเนินการรายนี้แล้ว

อีกกรณีหนึ่งคือ  การที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “สมฤดี สุขสมหวัง”  ลงข้อความโจมตีบริษัทฯ ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงมาตลอด ตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่าบุคคลนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทฯ  ไม่เคยเป็นพาร์ทเนอร์ถูกดี และข้อความที่ปรากฏอยู่บนเฟซบุ๊ก ไม่เป็นความจริง โดยบริษัทฯ ได้ทำการแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทฯ และ นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ไปแล้วถึง 2 ครั้ง

ซึ่งจากการสืบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบข้อมูลที่สอดคล้องกับการตรวจสอบของบริษัทฯ ว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเพจอวตาร มีการนำรูปบุคคลอื่นมาเป็นรูปโปรไฟล์ของตนเอง และกระจายข่าวอันเป็นเท็จ เพื่อทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสีย จึงขอให้ทุกท่านอย่าหลงเชื่อกับข้อความอันเป็นเท็จของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้

สุดท้ายนี้บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจกับผู้ดำเนินการร้านค้าจำนวนมาก จึงต้องทำทุกอย่างให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหลักการที่บริษัทฯ ยึดถือมาตลอดการทำธุรกิจ