หลายคนเมื่อมีอายุมากขึ้น เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ทั้งภายในและภายนอก จนทำให้รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ เมื่อเห็นใบหน้าตัวเองไม่สดใส หรือมีริ้วรอย สภาพผิวหน้าเสื่อมโทรมจากความอ่อนเพลีย ดูเหนื่อยล้า รวมถึงจากโรคประจำตัวต่าง ๆ ทำให้การดูแลตัวเองด้วยวิธีการและรูปแบบเดิม ๆ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป
นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด กล่าวว่า เรื่องความงามจะเกี่ยวข้องกับ 3 ศาสตร์เป็นส่วนประกอบหลักสำคัญ ที่ศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด ได้ออกแบบโปรแกรม “Bangmod Triple Facial Rejuvenation” ให้ทุกคนได้รับประสบการณ์ความงามทั้งภายในและภายนอก ได้แก่ ศาสตร์ที่ 1 ศัลยกรรมความงาม (ศัลยกรรมดึงหน้า) ศาสตร์ที่ 2 Facial Contouring (การยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด) และศาสตร์ที่ 3 Anti Aging (เวชศาสตร์ชะลอวัย) ไว้ในที่เดียว ซึ่งคนไข้จะได้รับคำแนะนำและการดูแลในลักษณะ Customized & Tailor-Made ตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

ต่อกันด้วย ศาสตร์ที่ 2 Facial Contouring สำหรับผู้มีปัญหาเรื่องริ้วรอย รอยย่น ผิวหย่อนคล้อยไม่มาก ในระดับ Grade 2 เหมาะกับการใช้โบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) หรือ โบท็อกซ์ (BOTOX®) ซึ่งเป็น Neurotoxin เมื่อฉีดเข้าบริเวณชั้น Dermis และฉีดเป็นจุดเล็ก ๆ จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ให้เกิดขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าทำงานลดลง ใบหน้าดูยกขึ้น ตึงกระชับ นอกจากนั้นการฉีด Botulinum Toxin ก็สามารถช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าที่นิยมฉีดกัน ได้แก่ รอยตีนกาบริเวณหางตาทั้งสองข้าง หรือริ้วรอยระหว่างคิ้ว ริ้วรอยกลางหน้าผากและบริเวณกราม
ส่วนกลุ่มผู้มีอายุมาก มีปัญหาผิวหนังในระดับ Grade 3 นอกจากผิวหน้าจะหย่อนคล้อยลง ยังมีการฝ่อของชั้นไขมัน และผิวหนังบางลงร่วมด้วย สามารถเห็นได้ชัดบริเวณรอบกระบอกตา ร่องแก้ม และขมับ ดังนั้น การเติมสารเติมเต็มจะช่วยให้เติมเต็มร่องต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กับการยกกระชับใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น ซึ่งหนึ่งในสารเติมเต็มที่รู้จักกันดี คือ ฟิลเลอร์ (Filler) มีส่วนประกอบหลักสำคัญอย่าง Hyaluronic acid (HA) ซึ่งได้รับมาตรฐาน FDA และเป็นสารชนิดเดียวกันกับร่างกาย มีให้เลือกหลายแบบและหลายคุณสมบัติ หากเลือกให้เหมาะสม จะได้ผลลัพธ์ที่ดี สามารถอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี และทยอยฉีดเป็นส่วน ๆ ได้ นอกจากนี้ ยังทำร่วมกับการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น แต่ที่สำคัญควรทำกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ผ่านการฝึกอบรมเท่านั้น
นอกจาก Botulinum Toxin และฟิลเลอร์แล้ว การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงลงไปยังผิวหนังชั้นลึก (Micro-focused ultrasound) อย่าง Ulthera ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีความแม่นยำและไม่ทำร้ายผิวชั้นนอก เพราะเป็นการสั่นสะเทือนของโมเลกุลและส่งพลังงานความร้อนสู่ผิวหนังชั้นใน ทำให้เกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยให้ใบหน้าดูยกกระชับและเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ ถือเป็นหนึ่งนวัตกรรมที่เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการปรับและยกกระชับหน้าแบบล้ำลึก ตั้งแต่ชั้นผิวตื้นไปยังผิวชั้น SMAS ซึ่งข้อดีจะช่วยแก้ปัญหาผิวในทุกระดับชั้น ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยไม่มาก วัยระหว่าง 30 – 60 ปี และกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี สามารถใช้ได้เหมือนกัน ที่สำคัญนำไปใช้ควบคู่กับการทำศัลยกรรมดึงหน้าได้ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ยาวนานขึ้น โดยการทำ Ulthera ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และจะเห็นผลอย่างชัดเจนในช่วง 3-6 เดือน ใบหน้าจะดูยกกระชับ ลดริ้วรอย ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์มากขึ้น และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี

จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 ศาสตร์ ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ โดยเฉพาะวิถีชีวิตคนยุคใหม่ที่หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ ควบคู่ไปพร้อมกับการหาทางเพิ่มความสวยให้กับตนเอง ซึ่งการดูแลสุขภาพจากภายใน สามารถเริ่มต้นทำได้ที่ตนเอง ส่วนการเพิ่มความสวยภายนอกให้กับตนเอง ต้องทำโดยฝีมือศัลยแพทย์มืออาชีพ โดยที่ศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด พร้อมให้การดูแลทั้งความงามภายนอกและภายใน ด้วยเทคนิคเฉพาะ ทำให้ “แผลเล็ก เจ็บน้อย หายไว ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ” ด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และชื่อเสียงของโรงพยาบาลในด้านศัลยกรรมความงาม ที่มีมายาวนานกว่า 35 ปี