พม. บุกหนองคายรวมพลังหยุดการค้าประเวณีและค้ามนุษย์

51

ปัญหาของเด็กและสตรีที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี  มีผลต่อเนื่องไปถึงการค้ามนุษย์ นับเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมที่ยังคงมีข่าวคราวให้เห็นอย่างต่อเนื่อง สังคมในทุกภาคส่วนจึงต้องรับรู้และตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ รวมทั้งต้องมีความรู้เท่าทัน และน่ี่คืออีกหนึ่งภารกิจสำคัญของ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ยังคงเดินหน้าเพื่อสร้างสรรค์สังคม พร้อมขจัดปัญหาตั้งแต่ตั้งแต่ต้นตอ ด้วยพลังแห่งความรู้ความเข้าใจและพลังของการรวมตัวกันเพื่อสร้างสังคมที่ดีงามและมั่นคง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 เวลา 10.30 น. นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ตลอดจนสื่อมวลชนจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแนวทางการป้องกันแก้ไขปัญหาการค้าประเวณีและการค้ามนุษย์ โดยมี พ.ต.ท. หญิง ธาราทิพย์ จำรัส รองผู้กำกับการด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย และ นายอาทร จันทร์พิลา ประชาสัมพันธ์จังหวัดหนองคาย นำเสนอแนวทางการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จังหวัดหนองคาย พร้อมทั้งนำคณะผู้บริหารและสื่อมวลชนเยี่ยมชมเครื่องตรวจพาสปอต ของ ตม. โดยมี ร้อยตำรวจเอก อภิชาติ คลธา รองสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคาย ที่มาเป็นวิทยากรบรรยายครั้งนี้

และในบ่ายวันเดียวกัน ในเวลา 13.30 น. นายเลิศปัญญาฯ ได้เดินทางต่อไปยังโรงแรมอัศวรรณ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการเสวนา “การพัฒนาบทบาทผู้นำทางสังคมด้านสตรีและครอบครัว” เพื่อรวมพลัง หยุดยั้งการค้าประเวณี และการค้ามนุษย์ด้านสตรีและเด็ก ภายใต้กิจกรรมเสวนาสัญจรพลังบวกสาม ภาครัฐ สื่อ และประชาสังคมเพื่อสตรีและครอบครัว โดย ร่วมต่อจิ๊กซอร์ประกาศให้สังคมรับรู้ และแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือ “ประชารัฐรวมพลังหยุดค้าประเวณี ค้ามนุษย์”

จากนั้นได้ปล่อยขบวนรณรงค์ป้องกันการค้าประเวณีและการค้ามนุษย์ มุ่งหน้าไปยังลานพญานาคหน้าเทศบาลเมืองหนองคาย โดยมี นายสุชาติ ทีคะสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย นางบุญรดา ทัพมงคล พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหนองคาย ภาคีเครือข่ายจากภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนทั่วไป สภาเด็กและเยาวชน ในพื้นที่จังหวัดหนองคาย ตลอดจนสื่อมวลชนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ร่วมเดินขบวนกว่า 300 คน

นายเลิศปัญญา กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้สตรีและเด็กตกเป็นเหยื่อของการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นจำนวนมาก ดังนั้น สังคมจึงต้องเฝ้าระวังและคอยสอดส่องดูแลไม่ให้สตรีและเด็กตกเป็นเหยื่อของการถูกทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้ ดังเช่น สถานการณ์ปัญหาที่เป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้สตรีหรือเด็กมีโอกาสในการเข้าสู่กระบวนการค้าประเวณี ค้ามนุษย์ อันมาจากหลายสาเหตุ

เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา ความไม่รู้เท่าทัน ถูกหลอกลวง รวมถึงมีแรงงานแฝงหรือแรงงานข้ามชาติเข้ามายังประเทศไทยทางตะเข็บชายแดนเพื่อค้าประเวณี ซึ่งเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม จรรยาที่ดีงาม อันเกิดเป็นความเดือดร้อนและส่งผลเสียหายต่อความสงบสุขของประชาชนและความมั่นคงของชาติ จนก้าวไปสู่การค้ามนุษย์ที่เป็นปัญหาระดับประเทศและมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและเกียรติภูมิของประเทศไทยในสายตาของนานาประเทศ

นายเลิศปัญญา กล่าวต่ออีกว่า พม. โดย สค. ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยและการปกป้องสิทธิมนุษยชนของสตรีและเด็กจึงได้จัดกิจกรรมเสวนาสัญจรพลังบวกสาม ภาครัฐ สื่อและประชาสังคมเพื่อสตรีและครอบครัวขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจ บทบาทหน้าที่การทำงาน และการเตรียมพร้อมของภาคส่วนต่าง ๆ อันจะเป็นประโยชน์สำหรับการขับเคลื่อนงานด้านสตรีและครอบครัว ในการปรับองค์กรให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสนับสนุนการก้าวไปสู่ ไทยแลนด์ 4.0 โดยใช้กลไกการสร้างความมั่นคงเข้มแข็งของเครือข่ายและภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งเป็นพลังประชารัฐ

ประกอบด้วย คนในชุมชน หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนสื่อมวลชนที่เป็นกลไกสำคัญในการส่งต่อข้อมูล ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านสตรีและครอบครัวที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ ให้แก่สตรี ครอบครัวและสังคมให้สามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคม และเพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและแก้หาการค้าประเวณีที่อาจจะก้าวไปสู่การค้ามนุษย์ได้

“กลไกสำคัญอย่างหนึ่งที่ พม. พร้อมให้การสนับสนุนทุกภาคส่วน สำหรับเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนงานเพื่อการสอดส่องป้องกันภัยให้กับสตรีและเด็ก ตลอดจนคนไทยที่ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนทั้งภายในและภายนอกประเทศ คือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทรสายด่วน 1300 ซึ่งมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วบริการในภาวะวิกฤตตลอด 24 ชั่วโมง” นายเลิศปัญญา กล่าวในตอนท้าย