กองทุนพัฒนาสื่อฯ มุ่งสร้างภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทันสื่อ หลังคนไทยตกเป็นเหยื่อ วันละกว่า 2 แสนคน

25
ดร.ธนกร ศรีสุขใส

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เผยตัวเลขคนไทยตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพสูงวันละกว่า 2 แสนคน รับสายมิจฉาชีพปีละ 20.8 ล้านครั้ง ขณะที่สถิติแจ้งความออนไลน์สะสมร่วม 3 เดือนที่ผ่านมามีคดีออนไลน์ 518,130 คดี มูลค่าความเสียหายเกือบ 7 หมื่นล้านบาท สามารถเอากลับคืนมาได้เพียงแค่หลักพันล้าน โดยอันดับหนึ่งของคดีออนไลน์ คือ ถูกหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ

ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้เดินหน้าตามกลยุทธ์การดำเนินงาน 5 ยุทธศาสตร์ 6 สร้าง ได้แก่ สร้างสื่อ สร้างคน สร้างภูมิคุ้มกัน สร้างองค์ความรู้ สร้างเครือข่าย และสร้างองค์กร ซึ่งการสร้างภูมิคุ้มกันถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งข้อมูลข่าวสารและนำเสนอความคิดเห็น ในขณะเดียวกันทุกคนก็ต้องรับผิดชอบตัวเองในการเปิดรับข้อมูล การจะใช้มาตรการภาครัฐหรือกฎหมายอย่างเดียวทำได้ยากมาก สังคมจึงต้องตระหนัก ตื่นรู้ ด้วยการมีภูมิคุ้มกันในการรับสื่ออย่างมีสติ คิดวิเคราะห์ก่อนที่จะเชื่อและแชร์ ซึ่งกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยฯ มุ่งมั่นนำสิ่งที่เป็นวัคซีนทางสังคมไปสู่พี่น้องประชาชน ให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามออนไลน์ ที่ยากต่อการหลีกเลี่ยงในยุคที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ด้าน ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ประธานอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ศึกษาการทำงานของภาคีเครือข่ายทั้ง 5 ภูมิภาค ได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูล สังเคราะห์เป็นภาพรวมสถานการณ์การเกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อของไทย พบว่าปัญหาร่วมที่แต่ละภูมิภาคประสบ คือ ภัยหลอกลวงออนไลน์ อาทิ การหลอกลวงให้ซื้อของไม่มีคุณภาพ การหลอกให้กู้สินเชื่อออนไลน์ดอกเบี้ยสูง การแฮกข้อมูลจากมือถือ การกลั่นแกล้งทางโลกออนไลน์ การหลอกให้รัก ภัยจากข่าวลวง และการพนันออนไลน์ที่พบมากในสถานศึกษา รวมไปถึงความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงเทคโนโลยีและข่าวสาร
สำหรับการเสวนา “เสริมพลัง ร่วมป้องกัน ปัญหาภัยออนไลน์” เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาทางออนไลน์

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. (ด้านกิจการโทรทัศน์) กล่าวว่า ช่องทางในกระบวนการสื่อสารเดิมเป็นเพียงตัวกลางในการนำพาเนื้อหาไปสู่ประชาชน อาจจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ หรือคลื่นความถี่ต่าง ๆ แต่ปัจจุบัน Channel เปลี่ยนไปเป็นคำว่า “แพลตฟอร์ม” ซึ่งมีความฉลาดมาก มี Algorithm มีสมองกล และเอไอ ที่สามารถประมวลผลคาดการณ์ได้ โดยภัยร้ายจากโซเชียลมีเดียปัจจุบันจะมีลักษณะของการออกแบบเนื้อหาบวกกับการใช้ Algorithm ประมวลผลจากข้อมูล และพฤติกรรมจากสังคมออนไลน์ที่เราคุ้นเคย ประกอบกับมีการใช้ปัจจัยด้านจิตวิทยา โดยนำเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้หลงเชื่อกลโกงออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันการหลอกลวงออนไลน์ หรือเข้าใจสื่อ ด้วยการอ่านแบบ Lateral Reading การอ่านข้อมูลจากหลายแหล่ง พร้อมสืบค้นแหล่งข้อมูล เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลนั้น ๆ

ด้าน นางสาวฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท โกโกลุก (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน “Whoscall” กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพมากขึ้นถึงวันละ 217,047 คน ซึ่งในระยะเวลา 1 ปี มีสายโทรเข้าจากมิจฉาชีพ 20.8 ล้านครั้ง และมี SMS หลอกลวง 58.3 ล้านครั้ง ทั้งนี้ Whoscall แบ่งวิวัฒนาการกลลวงมิจฉาชีพ เป็น 5 ยุค คือ ยุคแรก หลอกซึ่งหน้า ยุคที่ 2 ใช้โทรศัพท์ โทรมาหลอก ยุคที่ 3 สร้างเพจปลอม ซึ่งเป็นยุคที่โซเชียลมีเดียเริ่มเข้ามา ยุคที่ 4 เป็นการหลอกแบบรู้ใจ มีการนำเอาเรื่องข้อมูลหรือบิ๊กดาต้าเข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลเหยื่อและจับประเด็นความสนใจ และปัจจุบันคือยุคที่ 5 ซึ่งอันตรายยิ่งขึ้น เพราะเป็นการหลอกด้วยเอไอ ซึ่งรู้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อและการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการปลอมตัวตน

ปัจจุบันการแก้ปัญหาการถูกหลอกลวงของประชาชนยังมีช่องโหว่อยู่มาก มิจฉาชีพสามารถเข้าถึงประชาชนผ่านหลายช่องทางและหลายรูปแบบมากขึ้น และยังมีการซื้อ-ขายบัญชีม้าอยู่มาก เมื่อพบบัญชีผิดปกติ สถาบันการเงินไม่สามารถอายัดได้ทันที ขณะเดียวกันการแก้ปัญหาให้กับผู้เสียหายยังมีความล่าช้า ต้องรอให้แจ้งความและแจ้งสถาบันการเงินเพื่ออายัดบัญชี ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ภาคธนาคารได้มีความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการเร่งแก้ไขปัญหาผ่านมาตรการสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ 1. แนวนโยบายบริหารจัดการภัยทุจริตจากการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยมีชุดมาตรการขั้นต่ำสำหรับจัดการภัยทุจริตทางการเงินครอบคลุมด้านการป้องกัน ตรวจจับ ตอบสนองและรับมือ และ 2. จากพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ได้ให้อำนาจธนาคารสามารถที่จะระงับและแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมอันควรสงสัยในภาคธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านระบบกลาง

สำหรับข้อแนะนำสำหรับประชาชน ในการการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย แนะนำว่า จะต้องมีการตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยติดตามภัยทุจริตรูปแบบใหม่ ๆ ไม่คลิกลิงค์ใด ๆ จากไลน์ อีเมล์ หรือ SMS ที่ไม่น่าเชื่อถือ หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัว ตั้งรหัสผ่านที่ยากต่อการคาดเดา และหมั่นอัปเดตโทรศัพท์ รวมทั้งไม่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจากแหล่งอื่นที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดี หากตกเป็นเหยื่อจากมิจฉาชีพแล้วจะต้องตั้งสติ หยุดการติดต่อกับมิจฉาชีพ และแจ้งธนาคารที่ใช้บริการทันที โดยมีช่องทางสายด่วน AOC 1441 หรือสายด่วนธนาคาร 24 ชม.หรือสาขาธนาคารในเวลาทำการ และแจ้งความอย่างรวดเร็วภายใน 72 ชม. ผ่านสถานีตำรวจหรือเว็บไซต์ Thaipoliceonline.com

พ.ต.ท. ดร.ปุริมพัฒน์ ธนาพันธ์สิริ รอง ผกก.4 บก.สอท.1 ผู้แทนหน่วยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวว่า การสื่อสารสำคัญมาก ซึ่งตำรวจจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้รับเรื่อง แต่ประเด็นสำคัญคือ การป้องกันสำคัญกว่า การให้ความรู้โดยการสื่อสารจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก สถิติการแจ้งความออนไลน์สะสม 1 มีนาคม 2565 – 12 พฤษภาคม 2567 มีคดีออนไลน์ 518,130 คดี มูลค่าความเสียหายเกือบ 7 หมื่นล้านบาท แต่สามารถเอากลับคืนมาได้ในเพียงแค่หลักพันล้าน ซึ่ง 5 อันดับแรกของคดีออนไลน์ คือ 1. ถูกหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ไม่เป็นขบวนการ 2. หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน 3.หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 4. หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และ 5. ถูกข่มขู่ทางโทรศัพท์ (Call Center)